วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ให้กำลังใจเด็กกันเถอะนะคะ

เเต่ก่อนตอนที่ลูกยังไม่สามขวบ ก็ทราบดีอยู่เเล้วว่า อะไรจะเกิดขึ้นบ้างเมื่อลูกสามขวบ ทุกสิ่งเกิดขึ้นหมดทุกอย่าง และเราก็เลือกที่จะปล่อยให้เกิดขึ้น เเละให้ความมั่นคงทางจิตใจตลอดเวลา
ปัญหาที่พบบ่อยให้วัยสามขวบนั้นมีไม่มากแต่ว่าก็หนักเอาการอยู่ เพราะว่าลูกเจอคนข้างนอกแบบรับรู้คำพูดคนข้างนอกแล้วไม่เหมือนตอนเล็ก แต่ว่าคนข้างนอกคาดหวัง กับเด็กว่าต้องทำได้ทุกสิ่งอย่าง เเล้ววิพากษ์วิจารณ์ จนลืมไปว่าเด็กก็มีจิตใจนะคร้าบ
ช่วงวัยนี้ลูกเริ่มมีอาการไม่ยอมสวัสดีคนอื่น ที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา จากที่เคยสวัสดีง้ายง่าย เเต่ม่าม๊าก็รู้อยู่เเล้วละว่ามันจะต้องมีอาการเเบบนี้ แต่ว่าเราสองคนเลือกที่จะให้จับมือลูกสวัสดีเเล้วก็ให้กำลังใจว่าคราวหน้าเอาใหม่ แต่มักจะมีผู้ใหญ่ที่เค้าลืมวัยเด็กของเค้าไปแล้ว มักจะบอกว่า ไม่เห็นเก่งเลยไม่ยอมสวัสดี หรือว่า ทำไมไม่สวัสดีละ สู้น้องก็ไม่ได้น้องเก่งกว่า(บอกตรงๆ เบื่อมากเล้ยคำแบบนี้ คนก็คนละคนน้า วัยก็คนละวัย แล้วคุณก็ไม่ใช่คนเลี้ยงลูกเรานะเเต่ว่ามาทำร้ายจิตใจลูกเราอีกละ) เด็กต้องเป็นทุกคน แต่ว่าผู้ใหญ่ไม่เคยให้ก้าวผ่านปัญหาไปอย่างสบายใจมักจะมีคำพูดให้บั้นทอนบ้าง หรือว่าขู่บังคับบ้างว่าต้องทำสิเเม่อายเค้านะทำไมลูกไม่สวัสดีเหมือนแต่ก่อน มากมายก่ายกอง เเล้วลูกก้ต้องยืนรับรู้อยู่ทำไมผู้ใหญ่ ไม่ให้โอกาสเด็กบ้างเลยคร้าบบบบบบ เพิ่งเจอก็ตำหนิก่อนเลย ทุกคนคาดหวังมากมายกับเด็กนะนี่ พอไม่ทำก็เอาเเล้วเหมือนว่าไม่ได้เรื่องเลย ไม่เอาไหนเลย คาดคั้นเหลือเกิน
ปํญหาตามวัยเป็นสิ่งที่ต้องเกิดเพราะว่าเเสดงให้เห็นพัฒนาการของเค้าไปอีกขั้นแต่คนชอบให้สิ่งปกติเป็นสิ่งผิดปกติเเละเลวร้ายมาก จนลืมไปว่า เด็กศักยภาพคือเด็ก
อยากจะบอกว่า อยากให้ให้เกียรติเด็กเหมือนเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งเเต่ว่าคาดหวังเค้าในฐานะเป็นเด็ก ไม่ใช่คาดหวังเกินตัว
ก่อนจะพูดอะไรกับเด็ก ให้นึกว่าเด็กก็คือผู้ใหญ่คนหนึ่งการให้เกียรติเค้าเท่ากับว่าเราสอนให้เค้าให้เกียรติโดยการทำให้เค้าเห็นปฎฺบัติให้เค้าดู ไม่ใช่สั้่งสอน วันนึงเมื่อต้นไม้โตเต็มที่ สิ่งดีดีที่สั่งสมไปจะออกดอกออกผลออกมาเอง ไม่ต้องใส่สารเร่งมาก ด้วยความใจร้อน เด็กไม่ใช่เครื่องคอมพิวเตอร์ เค้าเหมือนต้นไม้ที่ต้องค่อย ๆ ดูเเลตัดเเต่งเเก้ไขกันไป เเล้วก็เจริญเติบโต ไม่ใช่ สอนเเล้วทำไมไม่ทำบอกกี่ครั้งเเล้วทำไมไม่จำ จริง ๆ เค้าจำได้ละแต่ว่าเค้ายังอยากจะทำแบบนี้อยู่ถ้าเราคงเส้นคงวาเดี่ยวเค้าก็จะปฏิบัติตามเราเอง ก่อนที่จะพูดกับเด็กอยากให้นึกว่าถ้าเป็นเราโดนคนอื่นที่เพ่ิงรู้จักวิจารณ์เลยทันที ในข้อเสียของเราเราจะพอใจหรือไม่ นั้นละเด็กก็เหมือนกันเค้าคงอยากให้คนให้กำลังใจเเละค่อย ๆ สอนเค้ามากกว่า มาสั่ง เค้า ดุ เค้า วิธีนั้นเห็นผลเร็วเเน่นอน แต่วันหนึ่งเมื่อเค้าปีกกล้าขาเเข็ง พร้อมบิน นั้นละเค้าเเข็งเเรงกว่าเราเเล้วเค้าก็คงจะทำกับเราเหมือนที่เค้าโดนในวันที่เค้ายังอ่อนเเออยู่
เรื่องนี้ที่เขียนขึ้นมาแค่อยากจะบอกให้ผู้ใหญ่เข้าใจเด็กกันให้มาก ๆ ขึ้นกว่านี้อย่ามองเด็กว่าเป็นสิ่งที่เรากระทำกับเค้าได้หมด สั่งได้ทุกอย่าง ที่เขียนไม่ใช่เพราะว่าลูกตัวเองกำลังมีปัญหาเลยปกป้อง เเต่ว่ามาเขียนอย่างเข้าใจเพราะว่าแต่ก่อนทราบปัญหา และเจอแต่เด็กคนอื่นทำยังไม่ค่อยพบเจอปัญหาที่จะส่งผลถึงตัวเด็กเพราะว่าเราไม่ได้เลี้ยงเค้าเราก็จะเเค่เห็นว่าอ่อวัยนี้เค้าจะไม่ค่อยทำในสิ่งที่เค้าเคยทำมาง่าย ๆ นะ เเล้วมักจะโดนผู้ใหญ่ว่าว่า ดื้อนะ คือเรายังไม่ได้มายืนตรงจุดเลี้ยงเด็กเต็ม ๆ เรายังไม่เข้าใจมากหนักแต่ว่าเราก็ไม่เคยว่าเด็กนะเราเข้าใจว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องเกิด แต่ว่าพอมาเจอกับลูกตัวเองมักจะโชคดีมากเจอผู้ใหญ่ที่เค้าเห็นว่าเราก็คงเป็นเด็กคนนึงเหมือนกันเลยกล้าที่จะพูดและถามในสิ่งที่ลูกเราทำแบบบางทีเราสงสารลูกเราว่าเฮ้อลูกเอ้ย เดี่ยวอาการแบบนี้มันก็จะหายไปเองม่าม๊ากับป่าป๊าเข้าใจนะ สังคมมันก็เป็นอย่างนี้ละคาดหวังความสมบูรณ์แบบแต่ว่าสิ่งที่ตัวเองทำอยู่นั้นก็คือเเสดงแบบให้เด็กเห็นว่า ไม่ให้เกียรติผู้อื่น เจอกันก็วิจารณ์เราเลยถ้าต้องให้เจอคนเยอะ ๆ สะเปะสะปะ แล้วได้รับมลพิษ ม่าม๊าป่าปีาเลือกเจอคนน้อย ๆ แต่ว่าเจอแต่มิตรดีดีก่อนดีกว่า ในวัยนี้จะได้เติบโตไปแบบไม่ต้องเสียกำลังใจ
ปล ผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่าน ที่เคยวิพากษ์วิจารณ์เด็กมาก ๆ จนลืมนึกถึงใจเด็ก อยากให้ลองคิดใหม่ เเล้วอย่าก้าวก่ายหน้าที่ของพ่อเเม่เค้า ถ้าพ่อแม่เค้ารู้จักกับคุณเเล้วก็ดูมีมารยาทดี จงปล่อยวางเเละเชื่อว่าเค้าจะสอนลูกของเค้าเองว่าต้องทำอย่างไร ขึ้นอยู่กับวิธีของครอบครัวเค้า เราเป็นคนอื่น เราก็ต้องให้เกียรติเค้านะคะ เพราะว่าไม่เช่นนั้นมันจะกลายเป็นว่านอกจากไม่ให้เกียรติเด็กแล้วยังไม่ให้เกียรติพ่อแม่ของเด็กอีกคะ เราสองคนเชื่อว่าถ้าเราเอาใจใส่ต้นกล้าด้วยวิธีทีเหมาะสมกับพันธุ์ไม้ที่เราปลูก ต้นไม้แต่ละพันธุ์วิธีการดูเเลยังไม่เหมือนกัน เด็กก็เช่นกันมีลักษณะแตกต่างกันไปถ้ารู้ลักษณะและวิธีการดูแลที่เหมาะสม วันหนึ่ง เค้าก็จะเจริญเติบโตงดงามเป็นต้นไม้ในอนาคตเเน่นอน

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

insect park @KU

ได้พาลูกไปเที่ยวในที่ที่ดี และ ฟรีอีกเเล้วครับท่าน เราไปอุทยานเเมลงกัน ไปเราไปเดินกันในโดมแมลงเจอผีเสื้อเยอะมากเเละร่มรื่นมากมีบันไดให้โชกุนเดินขึ้นไปรอบ ๆ โดม สนุกสนาน ประสบการณ์ที่ได้รับ คือ โชกุนบอกว่า ม่าม๊า ๆ เมื่อกี้ผีเสื้อ บินชนโชกุนเลย คือถ้าไปเดินที่อื่นยากมากกว่าจะชนผีเสื้อสักตัว หายากจริง เเต่ว่าเดินในนี้ร่มรื่นเเละผีเสื้อเยอะอย่างที่บอก พอเดินเสร็จเราก็เข้าไปเดินต่อตรงที่เค้าสตาฟ แมลงเอาไว้ เจ้าตัวตื่นเต้นใหญ่เพราะว่าได้เห็นเเบบใกล้ ๆ และเป้นตัวเป็น ๆ โชกุนเห็นในหนังสือมาเยอะของจริงก็เคยแต่ว่าของจริงมันไม่นิ่งแบบนี้ ไม่ชัด เดินอยู่หลายรอบพอสมควร เดินไปสงสัยไป ป่าปีาทำไมเค้าเอาเเมลงมาทำแบบนี้ได้ไง ป่าปีาก็มีหน้าที่อธิบายไป ตามระเบียบ เค้าสนุกได้ถามเราว่า อันนี้เรียกว่าอะไร เเล้วส่วนนี้เรียกว่าอะไร ตามประสาเด็กวัยกำลังถาม







คำแนะนำ ก่อนไปควรอ่านหนังสือเกี่ยวกับแมลงให้เค้าฟังอยู่บ้างเด็กจะมีความตื่นเต้นเมื่อเจอของจริง

สีฟูฟู





กิจกรรม สีฟูฟู นำมาจากหนังสือของ วนิษา เรซ อีกเช่นเคย

สิ่งที่ได้คือ

ลูกเรียนรู้ที่จะผสมสีเอาสีนั้นผสมสีนี้ ด้วยความอยากรู้ของเค้าเอง ไม่ใช่เราสั่ง เค้าจะมีความอยากรู้ออกมาเองเเละอยากทำเองอยากผสมเอง เราให้ลูกได้มีส่วนร่วมในการทำ และเวลาเล่นไม่สังลูก ไม่บอกลูกมากไม่ขัดจังหวะในสมองเค้า ไม่ใช่ เอาอันนี้มั้ยลูก เอาสีนี้มั้ย วาดตาสิ วาดปากสิ เราจะปล่อยให้เค้าได้เล่น เพราะว่าการสั่งมากเหมือนว่าลูกเล่นตามที่เราบอกไม่ได้เล่นอย่างที่เค้าเล่น

ลูกได้ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็ก(กล้ามเนื้อมือ) เพราะว่าต้องใช้เเรงบีบ ทำไมต้องฝึกอยู่ได้ กล้ามเนื้อมือ คำตอบต้องฝึกสิคะ กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กน้อยต้องใช้ต้องเตรียมความพร้อมก่อนที่จะต้องเขียนหนังสือ เมื่อเราฝึกเค้าเค้าจะมีความคล่องเเละสามารถยังคับทิศทางได้ดีทีเดียว เราไม่อยากข้ามขั้นว่า ยังไม่ทันจะฝึกอะไรเลยก็จับให้คัดหนังสือเเล้ว

ลูกได้ใช้สมาธิจดจ่อกับสิ่งที่เค้าทำเค้าจินตนาการวาดเอง
ปล เวลาเล่น เรามักจะเล่นเป็นเพื่อนกับเค้าคือนั่งเล่นไปด้วยกันไม่ใช่เล่นในบทบาทแม่ คือ สั่งการ เด็กจะหมดสนุก ดังนั้นจงสนุกไปกับการเล่นแบบเด็ก ๆ กันอีกรอบนะจ๊ะ