วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พัฒนาการตามวัย กับ ความคาดหวังของผู้ใหญ่

หลังจากที่ม่าม๊าเลี้ยงโชกุนมาโชกุนก็มีพัฒนาการตามวัยมาตลอด เเละเเล้วก็ถึงพัฒนาการขั้นนึงที่ม่าม๊าและป่าป๊าคิดเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว ว่า มันจะต้องมีเสียงจากผู้ใหญ่ที่(ไม่เคยเข้าใจเด็ก) วิพากษ์วิจารณ์ เหตุการณ์ในวันนี้ก็คือ เราไปข้างนอกกันทำธุระที่นึงเเล้วก็ต้องนั่งสักพักเพื่อรอเพื่อนป่าป๊าทำธุระนั้นให้ ซึ่งโชกุนเองก็ไม่ได้รู้จักอะไร แต่ว่าลูกก็ยืนอยู่ข้างเค้า พอเค้าหันมาถามนั้นนี่ซักไซ้มากๆลูกก็ไม่ได้เปิดปากพูดอะไรยืนเฉย ๆ ซึ่งม่าม๊าก็ไม่ได้รู้สึกอะไรก็ลูกไม่ได้รู้จักเค้านี่หน่า ม่าม๊าก็ตอบคำถามแทนให้ เพื่อเป็นการแสดงให้ลูกเห็นว่า ถ้ามีคนถามเราก็ตอบอย่างนี้นะ โดยการที่ม่าม๊าไม่ตำหนิลูกเลยสักคำ เพราะว่าเข้าใจว่าเป็นวัย ลูกไม่สนิทไม่คุ้นก็ไม่คุย ผ่านไปผู้ใหญ่คนนั้นถามอีกคงอยากคุย ลูกก็ไม่คุย ผู้ใหญ่(ใจร้าย)คนนนั้น ตอบมาว่า นี่พูดได้รึเปล่า พูดเป็นมั้ยจะไม่พูดกับคนแปลกหน้าใช่มั้ย ไม่เห็นเหมือนช็อปเปอร์เลย คุยนั้นนี่ เอาละคะงานนี้ ไม่ทนแล้ว ม่าม๊าทนไม่ได้แล้วกับผู้ใหญ่ที่พูดจาไม่ให้เกียรติกับลูกเรา เลยตอบกลับอย่างสุภาพทั้งที่คำพูดที่เค้าว่าลูกม่าม๊านั้นถ้าไม่เป็นแม่คนนั้นก็ไม่เข้าใจหรอกว่ามันรู้สึกยัไง ม่าม๊าตอบไปว่า
ขอโทษนะคะ ดิฉัขออนุญาตินะคะ ลูกไม่เคยรู้จักคุณมาก่อน และเพิ่งเคยเจอครั้งแรก ไม่น่าแปลกอะไรนะคะที่เค้าจะไม่คุยด้วยทันที ถ้าเจอครั้งแรกเลยแล้วคุยจ๋อย ๆ ทันที ดิฉันก็รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยอะคะ คือ ลูกอยู่ในวัยที่แยกแยะได้เเล้วคะคนว่าแปลกหน้าและคนคุ้นเคย ต้องให้เวลาเค้าสักพักคะ คือถ้าลูกอยู่วัยนี้แล้ว แต่ว่ายังคุยกับทุกคนไม่มีขอบเขตแยกเลยว่าแปลกหน้าและคุ้นเคยอย่างนี้ต้องหนักใจเเล้วคะ ถ้าวันนึงเราไม่ได้อยู่ตรงนี้กับเค้าเเล้วมีคนแปลกหน้ามาคุยกับเค้าแล้วเค้าเล่นด้วยทันที ก็คงไม่โอเคมั้งคะ แต่ว่าใช่คะเราต้องทำให้เค้าเห็นคะว่านี่เพื่อนของพ่อเค้าถ้าถามมาต้องตอบคำถามซึ่งเราก็ตอบคำถามแทนลูกเเล้วนี่คะ น่าจะหายสงสัยในคำถามนะคะ

สอง ตัวดิฉันเองไม่เคยเปรียบเทียบลูกกับใครทั้งนั้น ขอโทษนะคะ เค้าคนละวัยกันพัฒนาการย่อมแตกต่างกันจะเหมือนกันได้อย่างไร คนก็คนละคน วัยก็คนละวัย
บทสนทนานั้นจบลงอย่างราบเรียบ และผู้ใหญ่คนนั้นก็เงียบไป คราวนี้เป็นครั้งแรกที่ม่าม๊ารู้สึกสบายใจมากที่ได้ตอบกลับผู้ใหญ่ที่ไม่ให้เกียรติเด็กบ้าง ไม่งั้นเค้าก็จะไม่ทราบว่าเค้ากำลังมองเด็กเป็นคนที่เค้าข่มได้ การใช้คำพูดว่า นี่พูดได้รึเปล่า ถามหน่อยว่า ถ้าคำถามนี้ถามกับผู้ใหญ่ด้วยกันอะไรจะเกิดขึ้น แต่ว่านี่ถามเด็กไงคะเด็กไม่มีทางสู้ ก็ต้องจ๋อยใช่มั้ยคะ แล้วพ่อแม่บางคนซ้ำลูกตัวเองอีกว่า ตอบสิ ๆ ขี้กลัวขี้อาย น่าเสียใจที่คำพูดที่ไม่ได้นึกถึงใจเด็กแบบนั้น เค้าไม่ทราบเลยว่าทำร้ายใจของเด็กไปเเค่ไหน

นั้นคือเหตุการณ์นึง มีอีกหลายเหตุการณ์มากมายที่โชกุนเจอในช่วงวัยนี้ เช่น สมมติว่าเจอคนที่เป็นญาติ แต่ว่าไม่คุ้นเคย โชกุนก็จะเงียบ ๆ ไม่คุยเล่นอะไร ผู้ใหญ่ทุกคนก็จะคุยสิ ๆ ทำไมไม่คุยคุยสิ หัวอกแม่อึดอัดแทนลูก ว่าลูกจะคุยอะไรน้อ เราเองเป็นผู้ใหญ่ยังไม่มีอะไรจะคุยเลย ขนาดผ่านโลกมาขนาดนี้แล้ว

อยากให้ผู้ใหญ่เข้าใจมองเด็กว่าเป็นเด็ก ไม่ใช่มองเด็กว่าเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก
เด็กใสมากและมากเกินกว่าที่จะเเสเเสร้งคุยกับคนแปลกหน้าได้ทันทีเหมือนผู้ใหญ่ ในชีวิตเค้าเพิ่งเริ่มต้น เพิ่งเรียนรู้อะไรมากมายบนโลกนี้ ขอเวลาปรับตัวหน่อย เดี่ยวผ่านพ้นไปเองวัยนี้แต่มีอยู่ที่ว่าจะผ่านไปอย่างมีความสุข หรือ ผ่านไปอย่างมีปม ว่าตัวเองทำไม่ได้

อยากให้ผู้ใหญ่ลองจินตนาการว่าตัวเองเป็นเด็กอีกครั้งว่ามันทรมานเพียงใดในการที่โดนผู้ใหญ่ที่เรียกว่า พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย คนในครอบครัว ผลักให้พูดให้เล่นกับคนแปลกหน้าทันที ต้องกล้า ต้องนั้นนี่ ทำไมเรา คือ คนที่เค้ารักที่สุด กลับกลายเป็นคนที่เราผลักเค้าแล้วให้เค้ามีความไม่สบายใจเกิดขึ้น ทำไมเราไม่ทำกับเค้าไปพร้อมเค้าทำด้วยกัน หรืออย่างเช่น สมมติว่าจะซื้อของ เด็กยังไม่แข็งเเรงและมีความกล้าพอที่จะไปเองคนเดียว ไม่เห็นเป็นไรที่เราจะเดินเคียงข้างเค้าก่อน ทำให้เค้าเห็นก่อน ทำพร้อมกันไปเรื่อย ๆ ผลัดกันทำผลัดกันซื้อสนุกสนาน ครั้งนี้แม่สั่ง ครั้งต่อไปลูกสั่ง การเรียนรู้ที่สิ่งเกิดจากความสุขไม่ได้เหรอ มันยั่งยืนและถาวรมากกว่า ไม่ต้องบีบบังคับให้ไปเอง ดูซิจะกล้ามั้ย ทำไมผู้ใหญ่เหล่านี้ลืมวันที่ตัวเองเป็นเด็กไปแล้วว่าตอนตัวเองนั้นก็อยากให้พ่อแม่เคียงข้างก่อนเดี่ยวถ้ามั่นใจทำได้เอง ยิ่งบีบยิ่งรู้สึกเหมือนทำไม่ได้สักที ทรมานใจจังที่จะต้องทำ

อย่างที่ป่าป๊าเคยเล่าให้ม่าม๊าฟังว่า เค้าบอกว่าเค้าตอนเด็ก ๆ โดนว่าตลอดว่าไม่กล้าไปติดต่ออะไรก็ไม่กล้า ไม่เก่ง เค้าบอกว่ามันทำให้เค้าเสียใจแล้วรู้สึกว่าตัวเองไม่เอาไหนเลย อาย หดหู่มาก ยังไงก็ทำไม่ได้กลัว (เชื่อมั้ยว่าตอนนี้ก็ยังเป็น) แต่ว่าด้วยความที่วัยโตขึ้นเลยคิดได้ว่าอ๋อไม่มีไรน่ากลัว แล้วเราต้องรอให้เด็กโตเหรอถึงคิดได้ให้เค้ากล้าเมื่อพร้อมให้ชีวิตมีความสุขไปดีกว่า เราเป็นพ่อแม่เปิดโอกาสให้ทำ ให้กำลังใจ แต่ว่าเมื่อไหร่ที่ลูกแสดงอาการว่าไม่พร้อมเราต้องยื่นมือให้เค้าก่อนในที่นี้ไม่ใช่ยื่นมือทำให้ทุกอย่างแต่ว่ายื่นมือให้เค้ารู้ว่าไม่เป็นไรพ่อแม่เคียงค้างก่อน พ่อแม่พร้อมสนับสนุน ไม่ใช้ไป ไป ทำเองเลย ป่าป๊าเค้าเลยคิดได้ว่าจะไม่มีวันพูดจาทำนองนี้เด็ดขาด เค้าบอกเลยลูกต้องกล้าจากความสุข และพร้อมที่จะทำฝึกโดยการที่เราอยู่ข้าง คอยเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่สั่งว่าไม่เห็นมีไรน่ากลัว(ใช่สิก็มันไม่น่ากลัวสำหรับผู้ใหญ่ แต่ว่ามันน่ากลัวสำหรับเด็กผิดด้วยเหรอ)สมมติว่าผู้ใหญ่อย่างถ้าต้องไปติดต่อกับฝรั่งหรือชาวต่างชาติคนเดียวอะกล้ามั้ย(ที่ต้องเปรียบเทียบว่าติดต่อกับชาวต่างชาติคนเดียว เพราะว่าจะได้นึกภาพออก เพราะว่าถ้าบอกว่าติดต่อกับคนอื่นแปลกหน้าก็ธรรมดาสำหรับผู้ใหญ่)ผู้ใหญ่หลายคนจะมองภาพไม่ออก ก็จะคิดว่าไม่เห็นจะมีไร แต่ว่าพอลองใส่ เงื่อนไขที่ว่าต่างชาติต่างภาษาเข้ามา น่าจะนึกภาพออกว่า อ๋อเด็กน้อย เค้าก็รู้สึกแบบนี้ นั้นเอง กลัววาจะสื่อสารรู้เรื่องมั้ย ไม่รู้จักกันเลย เค้าจะคุยกับเรามั้ย อยากให้รู้ว่าเด็กก็รู้สึกกังวลนะคะ
เพราะว่าการสั่งสอนไม่มีค่าอะไรเลย ถ้าคนสั่งไม่ทำเป็นแบบอย่างที่ดีเด็กมองไม่เห็นภาพ
เด็กต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า แล้วมันแปลกด้วยเหรอที่เราจะเดินไปข้าง ๆ พร้อม ๆ กับเค้าก่อน นำทางเค้าก่อน

ที่พูดมาทั้งหมดไม่ใช่เพราะว่าเข้าข้างลูกตัวเอง ปกป้องลุกตัวเอง แต่ว่าสงสารเด็กทุกคนที่โดนแบบนี้แต่ว่าบังเอิญว่า ลูกตนเองก็โดนกระทำโดยคนที่เค้ารักบ้าง หรือ คนที่ไม่รู้จักบ้างเลยคิดว่า ไม่เห็นยุติธรรมเลยสำหรับเด็ก อยากบอกแทนเด็กว่า พวกเค้าไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็ก เค้า คือเด็ก ทำเป็นแบบอย่างให้กับพวกเค้าอย่าข่มและตำหนิให้มากหนักเลยมันไม่ใช่วิธีที่สร้างสรรค์

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ant





21 สค 54
เราเรียนเรื่อง มด กัน เราทำการทดลองเอาอาหารขนมสิ่งที่เราอยากรู้ว่ามดชอบกินมั้ยมาวางบนจานกระดาษ ไม่นานเกินรอมากันเพียบ งานนี้โชกุนเลยได้รู้ว่า มดชอบกินอะไรบ้าง ชอบกินของหวาน ๆ นี่เอง หลังจากนั้นเราก็มาเล่นเกมที่ม่าม๊าทำให้ เป็นเกมฝึกให้โชกุนมองภาพจากซ้ายไปขวา บนลงล่างเอาง่ายมองให้มันเป็นระบบระเบียบนั้นเองเกมนี้จะทำให้อีกหลาย ๆ รุปเลยนะครับจะได้ฝึกบ่อย ๆ ทักษะพวกนี้อยู่ที่การฝึกฝนฝึกบ่อยก็จะชำนาณเอง

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2554

color wheel and blueberry chesse pie

3 สค 54 วันนี้เราเรียนรู้เรื่องสีกันว่าสีอะไรเอามาผสมเเล้วเป็นสีอะไรบ้าง ม่าม๊าก็พูดไปทำไปโชกุนก็ดูทำตามถามว่ารู้มั้ยว่าสีอะไรผสมแล้วเป็นสีอะไร ด้วยวัยโชกุนยังไม่รู้หรอกแต่ว่าจุดประสงค์ก็คือโชกุนรู้ละว่า อ๋อสีที่มีอยู่มันผสมกันได้แล้วเกิดสีใหม่นะนี่ มันสนุกตรงนี้ละ











และตอนบ่ายเรามาทำ blueberry chesse pie กัน




















โชกุนช่วยบดขนมปังช่วยคลุกและช่วยยุ่ง 555 หน้าตาออกมาเป็นอย่างนี้ครับ






วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

magnet

31 กค -1 สค 54
เราเรียนรู้เรื่อง magnet กันสองวัน วันเเรกก็บอกให้โชกุนรู้ว่า magnet คืออะไร เเล้วมันติดกับอะไรบ้าง เเล้วในบ้านเรามีอะไรที่ magnet สามารถติดได้บ้างเราก็เล่นเกมกันสนุกสนานหาของกันใหญ่ อย่างน้อยโชกุนก็ได้เรียนรู้ว่า เเม่เหล็กจะติดกับเหล็ก หรือสเเตนเลส เท่านั้น สามารถจำเเนกได้ว่า เเม่เหล็กไม่ติดกับพลาสติก กล่องกระดาษ เป็นต้น
กิจกรรมนี้เราใช้เวลากันประมาณ 30 นาที



อุปกรณ์ที่ใช้เป็นส่วนหนึ่งของการทดลอง





วิ่งทั่วบ้านหาของที่เเม่เหล็กจะติดได้ อันนี้โชกุนสนุกเพราะว่าเหมือนเล่นซ่อนเเอบ
















ส่วนวันที่สองเราก็เหมือนมาสรุปกันอีกทีว่า เเม่เหล็กมันมีสองขั้วน้า ถ้าเหมอืนกันมันจะผลักกันออกถ้าต่างกันมันจะดึงเข้าหากัน โชกุนก็ทดลองไป จริง ๆ ม่าม๊าจะลงวิดีโอที่โชกุนทดลองแตว่ามันลงไม่ได้สักทีไว้ลงได้เเล้วจะเอามาให้ดูนะ

โชกุนเรียนรุ้คำศัพท์จากการเรียนรู้เรื่องเเม่เหล็กดังนี้
magnet
pole
same pole push away or repel
different pole pull together or attract
iron
steel
metal
เเต่ว่าทั้งหมดนี้พอรู้อยู่เเล้วแต่ว่าพอมาทำกิจกรรมเลยทำให้โชกุนเห็นภาพมากขึ้นเข้าใจมากขึ้นว่าอะไรคือเหล็ก อะไรคือการผลักออก ส่วนในเรื่องคำว่า ขั่ว หรือ pole น่าจะยังไม่ค่อยเห็นภาพต้องหาเเม่เหล็กหรือทำสัญลักษณ์ให้โชกุนเห็นภาพมากกว่านี้ว่ามันมีด้านที่เหมือนกันกับต่างกัน จริงๆ ม่าม๊าหาซื้อเเม่เหล็กที่มันมาตรฐานกว่านี้ละนะแต่ว่าเถวบ้านไม่มีขายเดี่ยวไว้หาซื้อให้นะจ๊ะ

มาต่อกันเรื่อง magnet อีกนิด วันที่ 4 สค 54 เราเอาเเม่เหล็กไปติดที่รถของเล่น ของโชกุนกัน เพื่อให้มันผลักกันก็เป็นการทดลองอีกเเบบนึงเหมือนกันนะนี่










โชกุนดูวิดีโอของโชกุนตอนที่ม่าม๊าสอนได้เลยนะครับที่
http://www.youtube.com/watch?v=h94gzNO1S7M&feature=youtu.be