วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วิทยาศาตร์เด็ก ๆ ทดลองอันไหนไข่ดิบอันไหนไข่ต้ม

วันที่ 29 ธ.ค. 55
ช่วงบ่าย ๆ แสนง่วง เราเลยมาสร้างความตื่นเต้น กันนิดนึง เลยมาทำการทดลองอันไหนไข่ดิบอันไหนไข่ต้มกัน
 อุปกรณ์ไม่มีอะไรเลย มีไข่สองใบใบหนึ่งต้มใบหนึ่งไม่ต้ม
พอเสร็จเราก็มาทดลองกันโดนการหมุนเจ้าไข่สองใบพร้อมกัน แล้วก็สังเกตุความแตกต่าง
 เกิดอะไรขึ้น ก็ไข่ต้มจะหมุนติ้ว เลย ส่วนไข่ดิบจะแค่เอียงไปมา เนื่องจากไข่แดงของไข่ดิบมันเคลื่อนที่ไปมาอยู่ข้างในเลยทำให้เวลาหมุนมันจะแค่โยกเยกเท่านั้น สนุกดีนะคะ ที่มาของการทดลองนี้เอามาจากเว็ปไซค์คะ http://www.sciencekids.co.nz/experiments/eggboiledraw.html .ในเว็ปมีการทดลองง่าย ๆมากมายสำหรับเด็ฏ ๆ เเละเป็นภาษาอังกฤษ พ่อแม่สามารถสอนเป็นภาษาอังกฤษได้เลยคะ อย่างวันนี้ก็เป็นการใช้คำว่า
raw กับ boiled
spin around
wobble
สะสมคำศัพท์ วันละนิดวันละหน่อย ไปเรื่อย ๆ เด็กได้เรียนรู้ทั้งคำศัพท์เเละเรียนรู้วิทยาศาสตร์จากการทดลองง่าย ๆ เค้าจะจำภาพเองนะคะ


วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วิทยาศาสตร์สนุก สนุก อีกเเล้วครับ

วันที่ 25 ธันวาคม 55

เราสองคนก็ได้เล่นเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ทำการทดลองเรื่อง ดอกไม้น้ำ กัน

อุปกรณ์มีดังต่อไปนี้

กระดาษ
ดินสอ
กรรไกร
กะละมังใส่น้ำ

วิธีทดลอง

วาดรูประบายสีกระดาษให้เป็นดอกไม้แล้วตัด หลังจากนั้นพับกลีบเข้ามา แล้วเราก็นำไปวางบนผิวน้ำ

สิ่งที่เราจะได้คือ กลีบดอกไม้ค่อย ๆ บบานออก

คิคิ ตรงนี้ละที่ลูกจะถามเราว่า ทำไม ละ (ได้โอกาสให้ความรู้นิด ๆหน่อย ๆ)

ก็เพราะว่าส่วนประกอบของกระดาษทำมาจากเส้นใยของพืชซึ่งภายในมีท่อเล็ก ๆ มากมายพอน้ำไหลซึมเข้าไปในท่อเล็ก ๆ ก็เลยทำให้กระดาษพองขึ้นเลยทำให้กลีบดอกไม้บานออกนั้นเอง






วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทดลองอย่างสนุก


หนังสือกิจกรรมที่ต้องมีไว้อีกอย่างคือพวกทดลองวิทยาศาตร์ ช่วยม่าม๊าได้มาก ๆ เพราะว่าม่าม๊าเป็นคนไม่ค่อยมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์เลย เอากิจกรรมมาทดลองเล่น กันกับโชกุนสนุกกันไปอีกแบบ และยอมรับว่าส่วนใหญ่ไอ้ที่ทดลองทำกันนะ ม่าม๊าเพิ่งทำครั้งแรกทั้งนั้น

 จริง ๆ การทดลองอันนี้ทำนานละแต่ว่าไม่ได้อับเดท เป็นการทดลองว่าลูกโป่งแตกเองได้ 
อุปกรณ์ก็ไม่มีอะไรเลยง่ายสุด ๆ ลูกโป่งกับเทียน คือจุดเทียนใกล้ ๆ ลูกโป่งโดยที่เราไม่ต้องเป่าลมเพิ่มเดี่ยวมันจะแจกเอง

จุดนี้ละเราก็จะต้องตอบลูกว่า ทำไมละ
ตรงนี้เราจะดูฉลาดขึ้น แต่ว่าเปล่าหรอกม่าม๊าก็อ่านมาจากในหนังสือที่เค้าเฉลยว่า
ก็เพราะว่า อากาศจะเคลื่อนที่เร็ว เรื่อย ๆ เมื่อได้รับความร้อน มันก็เลยชนกับผิวลูกโป่งทำให้มันพองและแตก 



สนุกดีนะคะลองทำ ๆ แล้วจะพบว่าโหเราก็เป็นนักวิทยาศาสตร์กับลูกได้ด้วยน้า

ประดิษฐ์ เครื่องบิน

ม่าม๊าได้ค้นพบศักยภาพของเด็ก มากมายหลังจากการที่เลี้ยงลูกเองนี่ละ เค้าว่ากันว่าเด็กไม่สามารถจดจดกับสิ่งใดได้นาน ๆ แต่ว่าม่าม๊าว่าถ้าเป็นสิ่งที่เด็กชอบมาก ๆ เด็กสามารถใช้เวลาได้นานมากเลย (อันนี้ดูจากลูกตัวเองนะคะ) และกิจกรรมที่ว่าชอบมาก ๆ ไม่นับการดูทีวี และ เล่นเกมคอมพิวเตอร์นะคะ

โชกุนชอบประดิษฐ์เครื่องบินมาก ประดิษฐ์เเล้วประดิษฐ์อีกทุกวัน มีแบบใหม่ ๆมา เรื่อย เหมือน สนุกมากที่ได้คิดเเล้วนั่งทำ เริ่มจากหัดที่จะพับเครื่องบิน แล้วระบายสีลงไป เรื่อยมาจนถึงตอนนี้เริ่มที่จะนำสิ่งอื่น มาประดิษฐ์เป็นเครื่องบิน เช่น ขวดน้ำ แล้วเอานั้นนี่มาทำเป็นส่วนต่าง ๆ ของเครื่องบิน เราแค่นั่งช่วยในสิ่งที่ลูกขอร้อง เช่น ม่าม๊าใช้คัทเตอร์ ตรงนี้ให้หน่อยครับ หรือว่าช่วยเตรียมเทปใสให้เค้า  โชกุนสามารถนั่งได้เป็นชั่วโมงเพื่อประดิษฐ์ ช่วงนี้ทำทุกวัน หลังจากที่เล่นนอกบ้านตอนเช้าเเล้ว ก็จะเอาละ ประดิษฐ์กันดีกว่า

โดยส่วนตัวแล้วชอบจ้ง เพราะว่าได้เห็นเค้าจดจ่อ ได้เห็นว่าเค้ามีความคิดแล่น ตลอดว่าจะทำอะไร ๆ ต่อ ดูมีความสุขดีจัง เหมือนเค้ามีจินตนาการต่อ ๆ ไปเรื่อย ๆ เราเลยมีหน้าที่นั่งช่วยเหลือ ไม่ได้นั่งซํกถามขัดจินตนาการเค้า มันเหมือนขัดจังหวะเลยรอให้เสร็จเเล้วค่อยให้เค้าเล่า ๆ โห ออกมาแล้วเรานั่งฟังเพลินดี 

ลองกันดูนะคะสนุกดีให้เค้าได้คิด ให้เค้าได้ทำ เหมือนกับว่าเค้าก็จะเจอประสบการณ์ใหม่ ๆ ไปเรื่อย ๆกับวัสดุ ต่าง ๆ ที่จะนำมาประดิษฐ์ และได้ใช้จินตนาการดูเค้าจดจ่อมากจริง ๆ นะคะ  










วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ฝึกภาษาอังกฤษ

และแล้วโชกุนก็เจอคุณครูที่อยู่ใกล้บ้านและรักเด็ก
ม่าม๊าไม่อยากให้ทักษะภาษาอังกฤษของโชกุนได้ฝึกแต่กับม่าม๊าคนเดียว ม่าม๊าเลยพยายามหาครู ให้เค้ามาช่วยกัน ตั้งแต่โชกุนยังสองขวบ ไม่ว่าจะเป็น คุณครู พอล คุณครูแซม แต่ว่าทั้งสองคน เค้าก็ต้องติดภารกิจของเค้า จึงมีเหตุให้ม่าม๊าต้องฝึกพูดกับโชกุนเองอยู่พักนึง

และแล้วก็ถามไปถามมาจนได้เจอกับคุณครูมิค โชคดีมากเลยลูก คุณครู สอนอยู่ที่ มหาลัยเกษตรศาสตร์ ตรงข้ามบ้านเราเอง เราไปเรียนได้ ทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ แค่นี้ม่าม๊าก็ยิ้มแล้ว

โชกุนก็สนุกสนานกับการได้เรียนกับคุณครูมิค มากเสียด้วย เพราะว่าคุณครูพาออกไปเที่ยวมีกิจกรรมต่าง ๆ ทั่ว มหาวิทยาลัย เข้าทางแนวการเรียนการสอนบ้านเรามาก ๆ

เอารูปมาฝากนะคะ

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ลอย ลอยกระทง

วันที่ 28 พ.ย. 2555

วันลอยกระทง ครอบครัวเราจะพลาดได้ไงกิจกรรมทำกระทง โชกุนจัดการเองเลย เอาถาดย่อยสลายที่ทำมาจากมันสำปะหลัง ใส่อาหารปลา ใส่ขนมปังเพื่อเป็นอาหารปลา จัดการเป็นกระทงเตรียมไปลอยเรียบร้อย
ปล กิจกรรมนี้ก็ได้ความคิดสร้างสรรค์ไปเต็ม ๆ เพราะว่าบ้านเราไม่ได้ทำกระทงอย่างที่เค้าทำ ๆ กันเนื่องจากแต่ละคนประดิษฐ์ประดอยไม่มีความชำนวณเสียเลย ป๊ากับม่าม๊าเลยให้โชกุนคิด ๆ ว่าเอาอะไรดีเน้อ ไปลอยแล้วให้ปลากินไปเลยไม่ต้องมาเป็นขยะ เลยจัดไปตามรูปนะครับ



วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วินัยต้องร่วมสร้างและเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่สั่งให้ทำ

แค่หัวข้อก็อาจจะทำให้โชกุนขำได้ถ้าวันนึงโตขึ้นมาอ่าน บ้านเรานอกจากไม่อนุญาติให้เก็บของที่หล่นบนพื้น หล่นบนโต๊ะขึ้นมากินแล้ว บ้านเรายังไม่ให้ใช้เท้าในการปิดพัดลม หรือ ปิดปลั๊ก ที่อยู่กับพื้น หรือให้ใช้เท้ากับคนอื่น

แต่เรื่องทั้งหมดนี้ ดูเป็นเรื่องตลกของผู้ใหญ่ ๆหลาย ๆคนนะคะ การใช้เท้าปิดพัดลมนี่นะบ้านเธอซีเรียสด้วยเหรอ

คำตอบ ซีเรียสคะ ไม่ได้เด็ดขาด มันดูไม่ดีเอาเสียเลย(สำหรับครอบครัวเรานะคะ) คือเราลงความเห็นกันว่า ถ้าเราคนหนึ่งใช้เท้าเปิดปิดพัดลม เป็นนิสัย จนเคยชิน แล้วถ้า วันหนึ่งลูกเราทำเเล้วเรามองเห็น ว่าลุกทำ เรารู้สึกอย่างไร คำตอบเราสองคนตอบตรงกันเลยว่า ไม่ชอบและ รู้สึกว่า ดูแล้วมันช่างสวนทางกับสิ่งที่เราสอนว่า ต้องสุภาพนะลูกไม่ใช้เท้ากับสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ว่าคนสอนยังนี่เลย ใช้เท้าปิดเปิดนั้นนี่ เป็นนิสัย เเล้วลูกทำตาม เเล้วถ้าได้ทำก็จะติดเป็นนิสัย
ไปที่ไหนก็จะใช้เท้า เปิดปิดพัดลม เราก็ต้องมานั่งสอนอีกว่า ไม่ได้นะลูกเราทำได้เฉพาะในบ้าน
หรือ ถ้ามีผู้ใหญ่นั่งข้างพัดลม แล้วลูกเราใช้เท้าเปิดปิด เราต้องมาสอนอีกเหรอว่า ไม่ได้นะห้ามใช้ถ้าผู้ใหญ่นั่งอยู่ เราสองคนเลยพอเถอะ เรื่องมาก สอนไปเลยทีเดียว ทำเป็นแบบอย่างไปเลยว่า บ้านเราไม่มีการใช้เท้าเปิดปิดพัดลมนะคะ หรือสิ่งใดที่มีสวิชต์อยู่ที่พื้น ห้ามเด็ดขาดลูกมีมือและหลังก็ยังดีอยู่ก้ม ๆ เงยๆ มันก็เป็นการบริหารร่างกายเล็ก ๆ น้อย ๆ นะ

มีโอกาสได้อ่านบทความขออนุญาตินำมาลงนะคะ เพราะว่าคิดว่าน่าจะเป็นคำตอบที่ดีพอสมควรว่าทำไมเราถึงเรื่องมาก แต่ว่าไม่ใช่ว่าเพราะว่าเราอ่านมาเเล้วถึงมากะเกณฑ์ลูกนะคะ ๆ แต่เราใช้หลักว่าพฤติกรรมใดก็ตามถ้าเราเห็นหรือเราโดนกระทำเเล้วเราไม่ชอบ เราจะไม่พยายามทำ ให้ลูกมาเลียนแบบ เหมือนที่คำพูดที่หลายคนเคยได้ยินว่า มีความสุขให้ลูกเห็น และเป็นคนดีให้ลูกดู
แต่ว่าที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่มีข้อบกพร่องนะคะ หรือว่าลูกเราจะดีที่สุด ขอตอบว่าไม่เลยคะ มีเราข้อบกพร่องและลูกก็ไม่ได้perfect ที่สุดด้วย ทุกวันนี้พูดเพราะกับเค้าทุกวันแต่ว่าเค้าเริ่มมีสังคมเพื่อนหรือว่าเลียนแบบพฤติกรรมคนนั้นคนนี้ เราต้องยอมรับว่าไม่สามารถจริง ๆที่จะรักษาเค้าให้เป็นผ้าขาวตลอดเวลาได้ แต่ว่าเราต้องคอยประคับประคองให้เข้ารูปเข้ารอยมากที่สุด ให้รู้ว่าอะไรที่บ้านเราทำได้หรือว่าบ้านเราทำไม่ได้  พยายามให้ดีที่สุด เลี้ยงด้วยเหตุผล และยึดหลักวินัยต้องร่วมสร้างและเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่สั่งให้ทำ แต่ว่าตัวเองไม่เป็นเเบบอย่าง
 พูดซะยาว มาอ่านบทความดี ๆ จาก modern mom กันดีกว่าคะเห็นว่าตรงกับเรื่องที่เขียน เลยนำมาเเนบด้วยหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับครอบครัวหลาย ๆ ครอบครัวนะคะ

"ฝึกวินัยให้ลูก" สร้างคนระยะยาวต้องเริ่มที่ก้าวแรก/ModernMom
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์17 มกราคม 2553 11:41 น.
1 | 2
หน้าถัดไป

   ‘พ่อแม่’ คือ สิ่งแวดล้อมที่ใกล้ตัวลูกที่สุด เจ้าตัวน้อยจึงพร้อมจะซึมซับทุกๆ สัมผัส และทุกๆการกระทำของคุณตลอดเวลา เพราะพฤติกรรมที่แสดงออกมาให้ลูกเห็น เปรียบเสมือนกระจกเงาที่จะสะท้อนให้เห็นว่าลูกของคุณจะมีบุคลิกแบบใดในอนาคต... ดังนั้น พ่อแม่ยุคใหม่จึงต้องมีทักษะในการเลี้ยงดูลูกให้เขาเรียนรู้ในสิ่งที่ดีๆ โดยเฉพาะเรื่องของ ‘วินัย’ เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบัน และอนาคตได้อย่างมีความสุข และมีคุณภาพ
     
       อย่างไรก็ดี คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจคิดว่า เร็วเกินไปที่จะสอนการมีวินัยให้กับลูก เพราะอาจทำให้ลูกเกิดความเครียดได้ แต่แท้จริงแล้วสิ่งนี้จะช่วยให้ลูกน้อยเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีพฤติกรรมที่เหมาะสมในสังคมต่อไป
       
       สำหรับในเรื่องดังกล่าว นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ หัวหน้าหน่วยพัฒนาการเด็ก และวัยรุ่น โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ได้กล่าวถึงความสำคัญของการสร้างวินัยให้กับเด็ก เรื่องจำเป็นที่พ่อแม่ยุคนี้ควรรู้ผ่านทางรายการว่า
       “ปัจจุบันปัญหาของเด็กที่ไม่มีระเบียบวินัยส่วนใหญ่เกิดมาจากครอบครัวที่ขาดการควบคุมดูแล ขาดการอบรมให้รู้จักควบคุมตนเองกันตั้งแต่ในวัยที่พอจะรู้เรื่องได้ ซึ่งถ้ามองตามพัฒนาการตามวัยแล้ว ระเบียบวินัยสามารถสร้างได้ตั้งแต่ในช่วงขวบปีแรก... การเริ่มต้นสร้างวินัย และเด็กๆ สามารถพัฒนาได้เป็นอย่างดีคือ วินัยในการกิน และวินัยในการนอน ตั้งแต่กินเป็นเวลา และนอนเป็นเวลา... เมื่อแรกเกิดเด็กจะรับประทานบ่อยทุก 2-3 ชั่วโมง แต่พอเขาโตขึ้นเรื่อยๆ กระเพาะอาหารมีขนาดใหญ่ขึ้น ก็สามารถรับประทานอาหารได้คราวละมากๆ จนมีระยะเวลาระหว่างมื้อห่างได้มากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้เด็กๆ ส่วนใหญ่เกือบทุกคนจะสามารถนอนหลับได้ยาวหลังสี่ทุ่ม หรือเที่ยงคืนไปแล้ว จนมาตื่นอีกทีก็ตอนเช้าเลยโดยนอนกลางคืนได้ประมาณ 8-10 ชั่วโมง หลังอายุ 6 เดือนไปแล้ว” 
     
       นอกจากนั้น ‘วินัย’ อาจหมายรวมถึงกิริยามารยาท...การที่พ่อแม่แสดงพฤติกรรมใดๆ ออกมาให้ลูกเห็น นั่นหมายถึงการซึมซับบุคลิกภาพภายนอกของต้นแบบในชีวิตอย่างคุณพ่อคุณแม่อย่างไม่รู้ตัว เช่น พ่อแม่ใช้เท้าเปิด ปิด พัดลม...เมื่อเด็กเห็นก็เรียนรู้วิธีการเปิด ปิด แบบนั้นเช่นเดียวกัน
       

       ด้าน นายแพทย์ อุดม เพชรสังหาร รองประธานกรรมการฝ่ายพัฒนาความรู้ บริษัท รักลูก กรุ๊ป จำกัด จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาสมองเด็ก ได้กล่าวถึงทฤษฎีเรื่อง “เซลล์กระจกเงา” (Mirror Neurons) คือ เซลล์สมองที่อยู่ตรงส่วนหน้า (Inferior Frontal Cortex) เซลล์กระจกเงาจะทำหน้าที่คล้ายกับฟองน้ำซึมซับทุกปฏิสัมพันธ์ที่ได้รับ ไม่ว่าจะมาจากคุณพ่อคุณแม่ หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว ผ่านระบบประสาทสัมผัสทั้ง 5 (การมองเห็น ได้ยิน สัมผัส ได้กลิ่น และรับรส) เพื่อเรียนรู้ และตอบสนองจนกลายเป็นประสบการณ์ที่ช่วยให้ทารกน้อยเจริญเติบโต นี่คือเหตุผลว่า “สิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไร มนุษย์ก็จะถูกหล่อหลอมให้เป็นไปเช่นนั้น” ซึ่งปัจจุบันทฤษฎีเรื่อง “เซลล์กระจกเงา” ได้ถูกนำมาพูดถึงกันมากขึ้นจนเรียกได้ว่าเป็น “ทศวรรษของเซลล์กระจกเงา” เพราะสิ่งที่คนเราได้ใช้ประโยชน์จากเซลล์กระจกเงาในขณะนี้ คือ
       การพัฒนาประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของมนุษย์ เพราะ Imitative Learning ซึ่งเป็นหน้าที่ของเซลล์กระจกเงา คือ ธรรมชาติการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดของมนุษย์
     
       การพัฒนาคุณธรรมของคน
     
       การพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างบุคคล การถ่ายทอด และกล่อมเกลาทางวัฒนธรรม (Socialization)

     
       ในสังคมเราที่ขับรถปาดหน้ากัน คนแซงคิว หรือนัดแล้วมาสายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเป็นไปตามกระแสสังคมที่เกิดขึ้นด้วย ลองหันมาดูในครอบครัวเราดีกว่าว่า บ้านเรามีวินัยกันแค่ไหน โดยเฉพาะยิ่งเจ้าตัวเล็กของเราที่จะเติบโตขึ้นไปเป็นคนของสังคมในวันข้างหน้า
       เรื่องดีๆ ของการฝึกวินัยให้ลูก
     
       - ช่วยให้ลูกรู้สึกมั่นคง เด็กที่เติบโตมาท่ามกลางการเลี้ยงดู และสิ่งแวดล้อมที่เป็นระบบระเบียบ ก็จะรู้สึกเป็นสุขกายสบายใจ และเกิดความมั่นคงในจิตใจ
     
       - ช่วยป้องกันลูกจากอันตราย ธรรมชาติของเด็กเล็กมักจะมีความซน และอยากรู้อยากเห็น การฝึกลูกให้มีวินัย หรือออกกฎบางอย่างให้ปฏิบัติตาม ก็เพื่อความปลอดภัยของลูกเอง
     
       - ช่วยลูกรู้จักวางแผน เช่น การล้างมือก่อนทานข้าว ระบบวินัยในบ้านเช่นนี้จะช่วยฝึกลูกให้เป็นรู้จักวางแผนชีวิต คิดเป็นระบบ และรู้ว่าอะไรควรไม่ควร
     
       - ช่วยลูกประสบความสำเร็จ วินัยถือเป็นพื้นฐานหลัก เพราะการดูแลให้ลูกมีวินัยในตัวเองมุ่งมั่นทำสิ่งต่างๆ ให้ลุล่วง ทำงานให้เสร็จเป็นชิ้นๆ ก็จะทำให้ลูกรู้สึกภูมิใจในตัวเอง และเป็นแรงจูงใจให้อยากทำอะไรอื่นๆ อีก
     
       - ช่วยให้ลูกรู้จักรับผิดชอบ การฝึกวินัยจะช่วยให้เด็กรู้จักควบคุมความต้องการของตัวเองที่เกินเลย มีความรับผิดชอบทั้งต่อตัวเอง และผู้อื่น
     
       - ช่วยลูกเข้าสังคม เมื่อถึงวัยที่ลูกจะออกไปพบคนอื่นมากขึ้น การที่ลูกรู้ว่าอะไรทำได้ ไม่ได้ เมื่อต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น เช่น ไม่กัด ตี หรือตะโกนใส่หน้าคนอื่น แต่กลับรู้จักแบ่งปันของเล่น รู้จัก “ขอบคุณ” “ขอโทษ” รู้จักเข้าคิว เล่นของแล้วเก็บเข้าที่ รู้จัก และระมัดระวังคำพูดและกิริยา ฯลฯ ล้วนเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ลูกเข้าสังคม และสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข
     
       การสร้างวินัยให้ลูกไม่ใช่เรื่องยาก หากคุณพ่อคุณแม่ตั้งใจจริงในการทำ มีความเสมอต้นเสมอปลาย แต่อย่าทำให้จริงจังจนบ้านกลายเป็นค่ายทหารไปเสีย เพราะวินัยนั้นสามารถยืดหยุ่น และปรับเปลี่ยนไปได้ตามสถานการณ์ ทั้งนี้ การสอนวินัยเริ่มได้ตั้งแต่เล็กๆ จะง่ายกว่าสอนตอนลูกโต ซึ่งการฝึกวินัยนั้นจำเป็นต้องมีกลวิธีในการฝึกที่ดี ภายใต้สัมพันธภาพอันดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่ และอาจเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง หรือหลายวิธีผสมผสานกันได้
 นอกจากนี้ ทางทีมงาน ModernMom ยังได้ฝากเทคนิคเสริมสร้างวินัยให้ลูกน้อยวัย 0 - 6 ปีมาด้วยค่ะ
     
   
    วัยทารก : แรกเกิด - 1 ปี 
     
       สำหรับเด็กขวบปีแรกนั้น ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่จะเริ่มปลูกฝังความมีวินัยในตัวเขาตั้งแต่เริ่มต้น โดยการฝึกวินัยในช่วงวัยนี้ ควรเป็นเรื่องกิจวัตรประจำวันของลูก ซึ่งหนีไม่พ้นเรื่องการกิน และการนอนให้เป็นเวลา
     
       พฤติกรรมการกิน
     
       - ช่วง 3 เดือนแรก เวลาการกินของลูกยังไม่ค่อยเป็นเวลา จะขึ้นอยู่กับความต้องการของเด็กแต่ละคน เพราะกระเพาะอาหารของลูกยังมีขนาดเล็กอยู่ ส่วนใหญ่จะให้นมทุกๆ 2-3 ชั่วโมง
     
       - พอย่างเข้าสู่วัย 4-5 เดือน กระเพาะอาหารของเด็กจะขยายใหญ่ขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานก็ดีขึ้นด้วย ตอนนี้แหละค่ะที่เราจะฝึกวินัยการกินของลูกได้แล้ว โดยเริ่มด้วยการงดนมมื้อดึก เพราะยิ่งเริ่มช้าก็ยิ่งลำบาก และถ้าเริ่มฝึกหลังจากฟันขึ้นแล้ว ก็เสี่ยงต่อการเป็นโรคฟันผุอีกด้วย เพราะเด็กส่วนใหญ่มักไม่ได้รับการทำความสะอาดฟันหลังกินนมมื้อดึก
     
       - เมื่อเข้าวัย 6 เดือนขึ้นไป ตารางการกินเริ่มเข้าที่เข้าทาง และเป็นช่วงเวลาที่ลูกจะเริ่มอาหารเสริมอื่นๆ นอกจากนม คุณแม่จัดเวลามื้ออาหารของลูกได้ โดยอาจจัดมื้ออาหารว่าง อาหารเสริม และอาหารมื้อหลักให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน
     
       - พออายุ 8 เดือน เขาสามารถนั่งเองได้แล้ว ควรมีเก้าอี้ส่วนตัวให้เขาที่โต๊ะกินข้าว เพื่อให้ลูกฝึกกินข้าวเป็นที่เป็นทาง และให้กินด้วยตัวเอง
     
       พฤติกรรมการนอน
     
       - สำหรับ 3 เดือนแรก ลูกยังจะนอนไม่ค่อยเป็นเวลา อาจจะตื่นขึ้นมาดื่มนมทุกๆ 2-3 ชั่วโมง พอเข้าสู่เดือนที่ 4 ลูกถึงจะหลับ และตื่นเป็นเวลามากขึ้น คุณแม่อาจสังเกตลูกว่า เมื่อใดลูกจะหิว หรือง่วง ค่อยๆ ปรับให้ลูกกินนอนเป็นเวลา
     
       - ตั้งแต่ช่วง 4 เดือนไป ตอนกลางคืนลูกจะเริ่มนอนยาวขึ้น แล่ะอาจจะมีอาการผวาบ้างบางครั้ง อย่าเพิ่งรีบเข้าไปอุ้มนะคะ ให้ดูท่าทีก่อน เพราะเขาจะกลับไปหลับต่อเองได้ แต่หากคุณพ่อคุณแม่รีบเข้าไปอุ้มก็อาจทำให้เขาตื่นได้
     
       - เมื่อเข้าสู่วัย 6 เดือน โดยส่วนใหญ่ตารางการนอนของลูกจะสม่ำเสมอขึ้น ต่อจากนั้น ค่อยๆ ปรับเวลาตื่น และเข้านอนของลูกให้เป็นไปตามที่ต้องการ เช่น ตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า เข้านอน 2 ทุ่ม ใหม่ๆ อาจไม่ยอมหลับ แต่ถ้าถึงเวลาก็พาเข้านอนทุกครั้ง ก็จะฝึกลูกให้นอนเป็นเวลาได้เองในที่สุด
     
       ทั้งนี้ ด้วยความที่ลูกยังเล็กเกินกว่าจะฝึกวินัย คุณแม่ต้องใจเย็น ค่อยๆ ทำให้เป็นกิจวัตรไปค่ะ แม้ว่าแรกๆ ลูกอาจงอแงเพราะไม่คุ้นชิน ดังนั้น การฝึกในช่วงขวบปีแรกควรทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลูกจะได้เรียนรู้ว่า นี่เป็นเวลาที่เขา ควรจะกิน และนอนได้แล้ว และเพื่อเป็นพื้นฐานในการฝึกวินัยในอนาคต
     
       วัยเตาะแตะ : 1-3 ปี
     
       สำหรับลูกน้อยวัยนี้ เป็นช่วงวัยที่ลูกได้เปิดโลกกว้างมากขึ้น และได้สัมผัสกับสิ่งใหม่ๆ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาทองของการเรียนรู้ และเลียนแบบสิ่งต่าง ๆ รอบตัว จึงเหมาะแก่การปลูกฝังให้ลูกได้รู้จักกับคำว่า ‘วินัย’ 
     
       “พฤติกรรมการแสดงออกของเด็กวัยเตาะแตะ หรือช่วง 1-3 ปีนั้น เริ่มช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น แต่เขายังไม่ทราบว่าอะไรควรอะไรไม่ควร และยังไม่ทราบกฎเกณฑ์ต่างๆทั้งของที่บ้านและในสังคมว่าควรประพฤติปฏิบัติอย่างไร เช่น ถึงเวลามื้ออาหารแล้วก็ต้องมาทานไม่ใช่ไปวิ่งเล่นอยู่ หรือถึงเวลานอนแต่ยังอยากเล่น เล่นของเล่นแล้วก็ทิ้งไว้ตรงนั้น เพราะมีคนคอยตามเก็บให้ ตรงนี้ก็จะต้องเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะสร้างกรอบ และระเบียบให้กับลูกๆ ด้วยการกำหนดขอบเขตของพฤติกรรมที่เหมาะสมให้ชัดเจน แล้วก็ต้องค่อยๆ ฝึกฝนให้ลูกปฏิบัติกันอย่างสม่ำเสมอ” นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กล่าว
       วัย 1 ปี เริ่มรู้จักเข้าไปทักทายกับเด็กวัยเดียวกันแล้ว แต่อาจยังไม่รู้จัก การเล่น หรือการเข้าสังคมที่ดีพอ จึงพบได้หลายครั้งว่า เด็กที่มาร่วมเล่นด้วยกันจะมีแย่งของเล่น หรือมีการกัด ดึงผม หรือข่วนหน้า อย่าเพิ่งด่วนลงโทษ เพราะจริงๆ แล้วเขาไม่ได้มีเจตนาทำร้าย แต่ด้วยวัยที่ยังไม่รู้จักการแบ่งปัน เล่มร่วมกันกับเด็กคนอื่น สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นเพียงวิธีการทำความรู้จักเพื่อนใหม่เท่านั้นเอง
     
       พอเข้า 2 ปี เจ้าตัวน้อยของเราเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง มีความเป็นตัวของตัวเองสูงขึ้น บ่อยครั้งที่ชอบทำอะไรตามความต้องการเป็นหลัก แต่ก็มีที่ลูกรู้สึกตัดสินใจด้วยตัวเองไม่ได้ หงุดหงิด รำคาญใจ และอาละวาด ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องใจเย็นในการสอนให้ลูกพูดความรู้สึก เช่น โกรธ โมโห แทนการขว้างปาข้าวของ หรืออาละวาดแทน โดยไม่ต้องอธิบายเหตุผลยืดยาว เพราะเด็กวัยนี้ยังไม่เข้าใจ หรือจดจำได้
     
       เมื่อวัย 3 ปี เขาจะเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่ไม่อยากให้เขาทำมากขึ้น รู้ว่าอันไหนควร อันไหนไม่ควร แต่ด้วยวัยที่อยากเรียนรู้ของเขา ก็อาจจะมีขัดขืนบ้าง การตำหนิว่ากล่าวอาจทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลง ควรใช้การพูดทางบวก และท่าทีที่นุ่มนวล อย่างเช่น “ถ้าหนูเก็บของเล่นใส่ตะกร้าให้เรียบร้อย แล้วเราออกไปเดินเล่นกัน” จะดีกว่า “ถ้าหนูไม่เก็บของเล่นให้เรียบร้อย แม่ก็จะไม่พาออกไปเดินเล่น”
     
       ทั้งนี้ หากลูกน้อยมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม คุณพ่อคุณแม่ควรวางเฉย ถ้าพ่อแม่ตอบสนองด้วยการตามอกตามใจลูกทุกครั้ง ลูกก็จะมีพฤติกรรมนี้ต่อไป และอาจทวีความรุนแรงขึ้น แสดงให้ลูกรู้ว่าสิ่งที่พ่อแม่ไม่ชอบ คือพฤติกรรมที่ไม่ดีของเขา ไม่ใช่ตัวเขา เช่น "แม่ไม่ชอบที่ลูกฉีกหนังสือแม่" ลูกก็จะได้เรียนรู้ว่า พฤติกรรมอะไรที่แม่ไม่ชอบ แทนที่จะพูดว่า "เด็กอะไรไม่น่ารักเลย แม่ไม่ชอบ"
     
       สำหรับ กิจกรรมที่เหมาะในการสร้างวินัยให้ลูกน้อยวัย 1-3 ปี คือ การฝึกให้ลูกได้เรียนรู้ผ่านกิจกรรมในชีวิตประจำวันตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน เช่น รับประทานอาหารให้เป็นเวลา เป็นที่เป็นทาง นอกจากนั้น การเป็นแบบอย่างที่ดีของพ่อแม่ในเรื่องของระเบียบวินัยที่ไม่ตึง และไม่หย่อนจนเกินไปก็เป็นอีกหนึ่งการเรียนรู้ที่ช่วยให้เด็กๆ มีวินัยในตัวเองได้ไม่ยาก
     
       วัยอนุบาล : 3-6 ปี
     
       สำหรับพฤติกรรมโดยรวมของเด็กวัยอนุบาลในช่วงอายุ 3-6 ปีนั้น นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ หัวหน้าหน่วยพัฒนาการเด็ก และวัยรุ่น โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ได้กล่าวถึงพฤติกรรมในการควบคุมอารมณ์ตัวเองของเด็กวัยนี้ เมื่ออยู่ในสังคมเพื่อนๆ ที่โรงเรียนว่า
     
       “เด็กในวัยก่อนเรียนเริ่มควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับวัยก่อนหน้านี้ สามารถแสดงออกถึงความต้องการ ความรู้สึกของตัวเองเป็นคำพูดได้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของคนอื่น เขายังเข้าใจว่าคนอื่นคิด เข้าใจ และมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเหมือนที่ตัวเองมองเห็น ยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง เวลาเล่นกันก็อาจมีทะเละกัน โต้เถียงกันได้บ่อย แย่งของเล่นกัน ถึงแม้จะเริ่มเล่นร่วมกันเป็นแล้ว รู้จักกฎกติกามารยาทง่ายๆ รู้จักรอคอยให้ถึงคิวของตนเองได้แล้วแต่ก็ยังเข้าใจคนอื่นได้ไม่ดีนักครับ”
     
       เด็กในช่วงวัยนี้จะสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้นตามกฎระเบียบง่ายๆ ของที่บ้าน และที่โรงเรียน เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง รู้จักการเล่นกับเพื่อนๆ วัยเดียวกัน เริ่มพูดรู้เรื่องมากขึ้น เชื่อฟังพ่อแม่มากขึ้น แต่อาจยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางอยู่บ้าง ซึ่งวินัยที่ลูกควรมีจะเกี่ยวเนื่องกับการใช้ชีวิตในสังคมมากขึ้น
     
       - ลูกควรมีความสามารถในการควบคุมตัวเอง เช่น ไม่อาละวาดลงมือลงไม้ หรือทุบตีคนอื่นเมื่อรู้สึกโกรธ ผิดหวัง อิจฉา
       - ให้เรียนรู้เคารพสิทธิของผู้อื่น เช่น รู้จักพูดขอบคุณ ขอโทษ รู้จักการเข้าคิว
       - ให้รู้จักรับผิดชอบตัวเอง เช่น อาบน้ำแต่งตัวได้เอง ช่วยรับผิดชอบงานบ้านเล็กๆน้อยๆ
     
       นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถสอดแทรกเรื่องของทักษะทางสังคมที่จะช่วยพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมให้กับลูกๆ ในวัยนี้ได้ เช่น รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น รู้ว่าคนอื่นเสียใจเหมือนกับที่ตัวเองรู้สึก ซึ่งจะเป็นพื้นฐานของการพัฒนาทางด้านคุณธรรมจริยธรรมต่อไปในอนาคต
     
       ทั้งนี้ เมื่อลูกปฏิบัติตนดีเป็นเด็กมีวินัย คุณพ่อคุณแม่ควรให้รางวัลลูก เช่น หันไปให้ความสนใจ ยิ้มให้ พยักหน้า โอบกอด หอมแก้ม ชื่นชม หรือชมเชย แต่เมื่อลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมก็สามารถสื่อสารให้ลูกรู้ได้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น เพิกเฉย ไม่ให้ความสนใจ ตักเตือน ริบรางวัล งดกิจกรรมพิเศษ แยกตัวเด็กออกไป โดยเลือกวิธีให้เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน และแต่ละสถานการณ์ พร้อมค่อยๆ บอกถึงเหตุผล
     
       ...หว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น... เรื่องของการฝึกวินัย คุณพ่อคุณแม่อาจต้องยืดหยุ่นแต่ไม่หย่อนยาน และทำอย่างจริงจัง สม่ำเสมอตามกติกาที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะกับเรื่องความปลอดภัย ซึ่งพัฒนาการ และพฤติกรรมของลูกน้อยในแต่ละช่วงวัยแตกต่างกัน คุณพ่อคุณแม่จึงต้องเลือกวิธีการฝึกวินัยให้เหมาะสมกับช่วงวัย และนิสัยของลูก ที่สำคัญการสอนลูกถึงระเบียบวินัย คุณพ่อคุณแม่ควรสอนด้วยการแสดงพฤติกรรมให้เห็นเป็นแบบอย่าง จะได้เรียนรู้ และไม่รู้สึกว่าเป็นการบังคับ

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ขี่จักรยานสองล้อเป็นแล้ว




โชกุนหัดมาวันนึงพอวันที่สองได้ถอดล้อจริง ๆจังก็ขี่ได้ คราวนี้สนุกไม่ยอมเลิก
การหัดขี่จักรยาน อยากให้พ่อแม่ค่อยเป็นค่อยไปเน้นที่เด็กเป็นสำคัญนะคะ เด็กบางคนพร้อมเร็วก็ขี่เป็นเร็วมาก มีลูกเพื่อนขี่เป็นเร็วมาก ตั้งแต่สองขวบสามขวบ แต่ว่าโชกุน ตอนนั้นยังไม่พร้อมแต่ว่าพอเค้าพร้อมหัดแป๊บเดียวก็สบายคะ


ตอนนี้เลยได้กิจกรรมมาเพิ่ม ปั่นจักรยาน อย่างมุ่งมั่น พ่อกับแม่วิ่งตาม อย่างสนุกสนาน(ปนเหนื่่อยมาก)

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เรื่องพี่พี่ น้อง ๆ

วันนี้แนนได้เจอกับกลุ่มเพื่อนที่มีลูกมากกว่าหนึ่งคน หลายคนก็บ่นว่า เบื่อมากเลยทำไมคนพี่ต้องคอยแกล้งน้อง มีทีท่าว่าอิจฉาน้อง

เราเลยถามเค้าไปว่า เธอให้อภิสิทธิ์คนน้องตลอดเลยด้วยคำพูดทำนองว่า

"ต้องให้น้องก่อนนะ "  
อันนี้พูดตลอดทุกครั้งก็ไม่ไหวนะคะ ฟังเเล้วเบื่อเเทนเด็ก

"ให้น้องก่อนเพราะว่าน้องเด็กกว่า"
อันนี้ฟังแล้วก็แบบ โห แล้วน้องเมื่อไหร่จะโตกว่าอะในเมื่อฐานะเค้าก็คือน้องอยู่แล้วทำไงน้องก็ไม่มีทางแก่กว่าเรา ชาตินี้คงต้องให้น้องก่อนตลอด

"อย่าทำน้อง"
"อย่าแกล้งน้อง"
"น้องๆๆๆๆๆๆๆ" สารพัดจะน้องเปล่า

เพื่อนสาวตอบกลับมาว่า เออพูดทุกประโยคเลย

เราเลยบอกว่า นั้นละทำไมลูกที่โตกว่าถึงมีอาการเหล่านั้น

ในความคิดของตัวเองก็ไม่ชอบเหมือนกันนะคุำพวกนี้ว่า น้อง ๆ คือ ส่วนตัวรู้สึกเหมือนว่า เอ้า มันผิดด้วยหรือที่เราเป็นพี่ อะ  จริง ๆ ถ้าลองเปลี่ยนประโยคเป็นทำนองว่า
 "เราลองให้น้องเลือกก่อนเนาะว่าจะเอาแบบไหน ลองเดากันเล่น ๆ ไหมว่าน้องจะเอาแบบไหน ดูสิว่าแม่หรือว่าลูกจะทายถูก" แนวเชิญชวนนิดนึงไม่ต้องสั่ง น่าจะไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี เพราะว่าในโลกนี้คงไม่ชอบให้ใครมาสั่ง แล้วนี่สมมติว่าแม่สั่งว่า ให้น้องก่อนนะ โอ้ย เด็กหรือพี่คนโตแอบเจ็บปวด
เอ้ยไรอะ แม่เคยให้เราก่อนให้เราคนเดียวทำไมอยู่ มาสั่งเราให้เราให้น้องก่อนอะ จริง ๆ ถ้าพูดเชิญชวนขออนุญาติเค้าหน่อยส่วนใหญ่เด็กจะทำตามเเล้วจะรักน้องด้วยซ้ำไป

แต่ว่าเราก็เติบโตมากับการสั่งให้แบ่งปัน น้อง สั้่งให้เสียสละ แต่ว่าเราไม่ได้สอนผ่านการกระทำที่เชิญชวนเท่าไหร่ ร้อยทั้งร้อยหลายๆ บ้าน พอมีเด็กเล็ก ก็เอาละ อย่าแกล้งน้อง แบ่งน้องก่อนสิ
 แต่ว่าพอจริง ๆ พอเค้าโตขึ้นไอ้อาการอยากได้ของเหมือนกันมันก็จะหายไปเองละแล้วผู้ใหญ่ก็คิดเอาเองว่า ไม่เห็นจะมีอะไรเลย โตขึ้นก็ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหาย ผู้ใหญ่หลายท่านก็จะบอกว่า ป้าก็เลี้ยงลูกป้ามาแบบนี้จนตอนนี้โตหมดแล้ว เค้าก็รักกันดีนะ คำว่าพี่น้องอะมันต้องรักกันอยู่แล้วละ แต่ว่าให้รักกันแบบไม่ต้องเหนื่อยเราตอนที่เค้าเด็ก ๆ ได้มันก็ดีนะคะ คือไม่ต้องมีปัญหาเด็กตีกัน ไม่เห็นเหรอคะบางบ้านเด็กพี่น้องกันตีกันตลอดเวลา หรือบางครอบครัวอาจจะดูดีไม่มีปัญหาก็ได้ดูพี่ยอมน้องตลอดเวลา ทั้งที่โดนสั่งแบบนี้ แต่ว่าหารู้ไม่ก็จะไม่ยอมได้ไงไม่ยอมน้องพี่ก็แย่สิโดนเละแน่ ทั้งดุ ทั้งว่า บางบ้านหนักหน่อยมีประชดกับเด็กอีก เช่น โอ้ยเป็นพี่อะไรไม่ยอมเสียสละ อันนี้แนวทำร้ายเด็กจัง
เด็กก็เลยยอมๆไปเหอะ (อันนี้เคยคุยกับคนที่ต้องยอมน้องตลอดเวลาตอนเด็กเค้าเล่าให้ฟังนะคะไม่ได้นั่งสมาธิแล้วคิดเอาเอง เค้าเล่าว่า บ้านเค้าสั่งมาว่าอย่างไงต้องยอมน้องตลอด จนเค้าเซ็งเบื่ออะ เลิกมีปากมีเสียงดีกว่า แต่ว่าถามว่าลึกในใจ ไม่ได้ยอมจากความรัก แต่ว่ายอมจากความเซ็งในความเป็นพี่ แล้วพอโตขึ้นน้องเค้าก็ค่อนข้างเอาแต่ใจ อันนี้ที่เค้าเล่านะคะ)
ลองดูย้อนไปดีดี ปัญหาอาจจะไม่ได้เกิดจากเด็กนะคะ อาจจะเกิดจากผู้ใหญ่ที่เลี้ยงนะคะ คำพูด คำสั่ง ตลอดเวลา

เด็กโตกว่าก็ต้องจำนนไปว่า อืมมให้ก่อน เดี่ยวไม่งั้นโดนว่า คือลึก คงไม่ได้ให้เพราะว่าอยากเสียสละเท่าไหร่ (มั้ง) เพราะว่าธรรมชาติของเด็กมักจะอยากได้ของสิ่งเดียวกัน อันเดียวกัน เหมือนกัน

ทางแก้จริง ๆบ้านที่มีเด็กวัยเล็ก ไล่ ๆ ไม่จำเป็นต้องพี่น้องจากพ่อแม่เดียวกันนะคะ ลูกพี่ลุกน้องก็ด้วยเพราะว่าสถานการณ์ที่บ้านก็ลูกพี่ลูกน้องคะ
 กันถ้าเราจะซื้อของให้เค้า สำหรับแนนนะคะที่ทำมาเเล้วได้ผลคือ
ซื้ออย่างเดียวกัน สิ่งเดียวกัน สีเดียวกัน แบบเดียวกัน ไปเลย เพราะว่า เด็กอย่างที่บอกของอย่างเดียวกันเท่านั้นที่อยากได้ (ทำประหนึ่งว่าคุณมีลูกแฝดไปเลย)

หรืออีกกรณีพาไปเลือกเองให้เลือกกันเองแล้วบอกว่าเลือกแล้วเเบ่งกันเล่นนะ เค้าจะมีวิธีการตกลงกันเอง(ไม่ต้องไปยุ่งมากไม่ต้องทำตัวเป็นผู้กำกับตลอดเวลา )

หรือบังเอิญว่าซื้อมาเเล้วมันดันคนละแบบ คนละสี ก็อาจจะใช้วิธีจับสลาก(อันนี้ต้องอธิบายให้เค้าเข้าใจว่าได้อะไรคืออันนั้น)

หรือว่าเด็กไม่เข้าใจอีก ก็ให้เค้าตกลงกันเองก่อนว่าใครอยากได้อันไหน ซึ่งจริง ๆ คำตอบมันคืออันเดียวกันนั้นละ คราวนี้ละเราต้องเข้าโหมดที่ว่า โอเคอยากได้อันเดียวกันเลย เอางี้ละกัน ของนี้แบ่งกันเล่นนะ เวลาเกิดเหตุการณ๊์แบบนี้แนนก็จะใช้วิธีบอกโชกุนว่า ด้วยควาที่เราเป็นพี่ใหญ่ (ให้เครดิตเค้าหน่อย) รอบนี้เราเสียสละให้น้องเล่นอันนี้ไปก่อนแล้วเดี่ยวอยากเปลี่ยนสีก็ไปแบ่งกันเล่นนะ แต่ว่ารอบหน้า เราจะให้คนพี่เลือกก่อนนะ คือเราต้องอย่าสอนให้แต่คนพี่เสียสละอย่างเดียวสอนทั้งทีเเนนว่าสอนไปเลยสองคนเลยดีกว่าเพราะว่าวันหนึ่งข้างหน้า คนที่เล็กกว่าเค้าต้องมีโอากาสเป็นพี่เหมือนกัน ถ้าเราฝึกแต่ว่าไม่ได้ ต้องให้คนโตเสียสละตลอดเวลา แล้วคนที่สองละ เค้าจะเรียนรู้คำว่าเสียสละ เมื่อไหร่ ต้องรอให้เค้ามีน้องอีกคน มันก็จะสายเกินไป ก็ได้ ในความคิดของแนนคือแนนคิดว่าทุกคนเท่าเทียมแต่ว่าสิทธิ์ในการเลือกของมันก็ต้องดูตามสถานการณ์ว่าใครจะได้มีสิทธิ์เลือกในคราวนี้ก่อน ควรจะสลับๆ กันไม่ใช่ฝ่ายใดได้อยู่ฝ่ายเดียวอะคะ

ทิ้งท้ายคะ ที่เขียนมาส่วนใหญ่เป็นเหตุการณ์ที่ประสบกับลูกตัวเองเเล้วอะคะ แล้วเราใช้หลักธรรมะ และ หลักธรรมชาติ ในการที่เอาใจเค้ามาใส่ใจเราในการตัดสินนะคะ ไม่ได้เป็นนักวิชาการ แต่อย่างใด บางคนอาจจะแบบ รู้ดีเหลือเกิน จะบอกว่าเปล่านะคะไม่ได้รู้ดี ไม่ได้เก่งกว่าใคร แต่ว่าแค่เวลาเลี้ยงลูกและหลาน ในเวลาเดียวกัน จะใช้หลักธรรมะ ที่เเสนธรรมดา ตัดสินคะ ไม่ได้เป็นนักวิชาการอาจารย์ด้านเด็กหรอกนะคะ เเค่เรียนมาทางด้านเด็ก แต่ว่าชอบและเวลาเลี้ยงอยากให้เค้าเป็นคนที่มีสภาพจิตใตที่สมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สังคมในปัจจุบันอยู่ยากนะคะควรสร้างคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์มาก ๆ หน่อย ไม่อยากให้ลูกโตขึ้นเเล้วทำปัญหาให้สังคมคะ และอีกอย่างที่เอามาเขียนเล่าคือแค่อยากเเชร์ประสบการณ์ซึ่งคิดว่าอาจจะเป็นประโยชน์บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ นะคะ

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ชวนเพื่อนทำเทียนกัน

กิจกรรมทำเทียนจริง ๆโชกุนเคยทำกับม่าม๊าเเล้วสองครั้งแต่ว่าวันนี้พิเศษหน่อยมีเพื่อนมาทำด้วยสนุกสนานกันใหญ่ สนุกสนานกับการคิดจะเอาเทียนสีอะไร จะต้องทำเทียนอย่างไร
แล้วผลงานก็ออกมาเป็นเช่นนี้

จริง ๆพอเด็กทำได้เวลาคราวหน้ามีงานพวกเทศกาลปีใหม่ หรือ วันเกิด เราลองให้เค้าทำแล้วช่วยกันคิดออกแบบ package ให้ดูดีแล้วให้เค้านำไปให้เป็นของขวัญก็ดีนะคะเค้าจะได้งมือทำให้เองแสดงถึงความตั้งใจและเค้าก็ยังได้ออกไอเดียในการทำให้ มันดูดี ของแบบนี้ทำบ่อย ๆ เชือได้เลยว่าเค้าก็จะชอบคิดชอบพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ คือเอาง่าย ๆเป็นคนมีไอเดียสร้างสรรค์ดีนะคะ แล้วของขวัญเเบบนี้คนรับเองก็น่าจะชื่นใจนะคะ เด็กน้อย ทำให้ด้วยความตั้งใจ

 )


ปล.กิจกรรมนี้ถ้าเด็ก ๆ ยังไม่ค่อยนิ่งพอ ผู้ปกครองต้องระวังนะคะเพราะว่าร้อน แต่ว่าทำได้คะเพราะว่าลูกชายก็ให้ทำด้วยกันตอนเค้ายังไม่ถึงสี่ขวบ ตอนนัั้นสักประมาณสามขวบกว่า ได้อยู่นะคะ
ลองนำไปทำกับลูกในวันหยุดกันดูนะคะ

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เล่นกับเพื่อน ๆ

ชวนพี่เกรท และพี่กาย และน้องตัวเองช็อปเปฺอร์มาทำกิจกรรมที่บ้านกัน(กิจกรรมง่าย ๆ ไม่ต้องออกจากบ้านไปเสียเงิน) เด็กได้เล่นกันสนุกสนานแถมมีสาระสอดเเทรกนะคะดูรูปกันดีกว่า




เด็ก ๆ พอได้เล่นได้ทำอะไรที่เป็นกิจกรรมที่ผู้ใหญ่ทำ เช่น ทำกับข้าว หรือทำงานบ้าน ทุกสิ่ง ง่าย ๆ เค้าจะชอบมากถ้าได้ทำเองด้วย บางทีกิจกรรมพวกนี้ก็ทำให้เราไม่ต้องเหนื่อยกับการเลี้ยงเด็ก ให้เค้ามีส่วนร่วมในงานต่าง ๆ หรือสิ่งต่าง ๆที่เราทำซะเลย มันส์แน่นอน

วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประดิษฐ์เองคิดเองทำเอง

วันนี้ม่าม๊านั่งวาดรูปอยู่กับโชกุน เอ๊ะ เห็นเงียบจริง เลยแอบดู อ๋อนั่งวาดภาพส่วนต่าง ๆ ของเครื่องบิน เเล้วทำการระบายสี และตัดส่วนต่าง ๆ มาประกอบเป็นเครื่องบิน ม่าม๊าช่วยตอนประกอบเล็กน้อย 
กิจกรรมนี้ โชกุนคิดเองทำเอง และได้ฝึกเองเรียบร้อย (ม่าม๊าไม่ต้องยุ่งดี55) ได้ฝึกทั้งความคิดว่า ส่วนประกอบของสิ่งที่ตนเองจะประดิษฐ์นั้นมีอะไรบ้าง ได้ ลงสีระบายสีตามจินตนาการ ได้ ฝึกกล้ามเนื้อมือในการตัด การประกอบ ตัวเครื่องบิน ได้ใช้สมาธิ  เรามาดูกันดีกว่าว่าขั้นตอนเค้ามีความตั้งใจขนาดไหน






ปล. เวลาที่ลูกกำลังมีสมาธิจดจ่อกับงานของเค้าอยู่ อย่าไปรบกวนนะคะ ว่าอะไรวาดอะไรคืออะไร ปล่อยไปก่อน ขนาดแนนถ่ายรูปยังต้องทำเนียน ๆ ไม่ให้รบกวนเค้า ไม่เปิดแฟลช ไม่เปิดเสียง แกล้งเก๊กว่าไม่ได้สนใจเค้าอยู่เดินไปหามุมที่สามารถถ่ายเค้าได้อะคะแล้วใช้ซูมเอา  (ที่ต้องพยายามถ่ายรูปไว้เพราะว่าเราเป็นเด็ฏโฮมสคูล ก็ต้องมีการเก็บหลักฐานไว้เพราะว่าเราต้องทำเป็นแฟ้มประวัติพัฒนาการของลูกเราคะ เพื่อยื่นต่อส่วนราชการ คะ 

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กิจกรรมเเสนสนุกทำทาร์ตไข่


เราสองคนอาทิตย์นี้เรามาทำทาร์ตไข่กัน อยากจะบอกว่าไม่กล้าลงรูปทาร์ตไข่เยอะเลยคะเนื่องจากทั้งรสชาติและหน้าตาของขนมที่เราสองคนทำโอว มันช่างอร่อยจนไม่อยากจะบอก คือ ผิดที่ม่าม๊าเองตวงผิด แป้งออกมาแข็งมาก และ ตัวไข่จืดมาก เอาไว้ครั้งหน้านะลูกเราแก้ตัวกันใหม่ ครั้งนี้โชกุนคล่องขึ้นนะนี่ ช่วยม่าม๊าร่อนแป้งสบายมาก แถมรู้ขั้นตอนในการตีแป้งตีไข่ 
เอาน่าอย่างน้อยขนมออกมาไม่อร่อยแต่ว่าสิ่งที่ได้คือลูกได้ทำกิจกรรม คุ้มละ ๆ 

ดูหน้าตาคุณยายสิลูก เค้ามองเหมือนเค้าไม่เชื่อว่ามันจะออกมาเป็นทาร์ตไข่

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

ชวนลูกทำเค้ก

วันนี้เราสองคนก็หาไรซนกัน วันนี้เรามาทำบัตเตอร์เค้กกัน ให้คุณโชกุนได้ลงมือทำลงมือช่วยม่าม๊าเหมือนเดิม สนุกเช่นเคย แต่ที่ขาดไม่ได้คือต้องช่วยล้างด้วย เอารูปมาฝากกันนะคะ

เกือบลืม กิจกรรมนี้เด็ก ๆเค้าได้รู้จัก การชั่ง(เเม้เค้าจะอ่านเลขไม่ถูก แต่ว่าอย่างน้อยเค้าได้เรียนรู้ว่าการชั่งต้องทำแบบนี้ ) การตวง กี่ช้อนชา เท่าไหร่ ๆ การผสม การร่อนแป้ง
การสอนเหล่านี้เราสอนเค้าได้ทั้งภาษาไทยภาษาอังกฤษเลยนะคะ อยู่กันเองสอนกันเอง อยากจะสอนอะไรเราก็สอนได้ วันนี้เราอาจจะทำเค้กกันภาคอินเตอร์ เราก็พูดเป็นภาษาอังกฤษกัน อันนี้ถ้าแม่ไม่ข่ำชองทางด้านการทำอาหารและศัพท์ทางการทำขนมเท่าไหร่ เราก็ดู you tube ก่อนมาสอนลูกสบายมากคะ เราทำกันเองได้คะ การทำแบบนี้ดีอย่างเราได้ทบทวนภาษาอังกฤษของเราด้วย
ลองดูกันนะคะกิจกรรมนี้เด็กชอบคะเพราะว่าเค้าทำเสร็จเค้าจะรอคอยที่จะชิมเค้กที่เค้ามีส่วนร่วมในการทำ แล้วเค้าก็จะชมเองว่าอร่อยยยยย


ด้านในเนื้อเค้กพอได้อยู่


หลังจากทำเค้กจริง ๆเสร็จ เค้าไปเปิดตู้เย็นเห็นว่ามีกากถั่วเหลืองจากที่ทำน้ำเต้าหู้ทานกัน  บ้านเราเก็บไว้ให้ลูกเล่นต่อไม่ได้ทิ้ง (จริง ๆไม่ได้งกนะ แต่ว่ามันเอามาเล่นได้สนุกดี 5555 เค้าก็เล่นตามจินตนาการของเค้าไปขายเค้กขายไอศครีมไปตามเรื่อง)


วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

โชคดีที่เราได้ทำอะไรที่เหมาะกับครอบครัวเรา

เรื่องที่ม่าม๊าคิดว่าม่าม๊าชอบการทำโฮมสคูล ให้โชกุน มากๆ คือ เราน่าจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีเเละเหมาะสมกับการเป็นเด็ก ตัวอย่างในเรื่องง่าย ๆ คือ การได้ทำอาหารกันทุกมื้อ โดยเฉพาะมื้อเช้า เพราะว่าตอนเด็กม่าม๊าไม่มีโอกาส คือ กิจวัตรมันคือ รีบตื่น รีบเเต่งตัว รีบออกจากบ้านให้เร็วที่สุด มีแต่คำว่ารีบ (เพราะว่าบ้านอยูสุขมวิท 101/1 แต่ว่าเรียนพระโขนง ดูไม่ไกล แต่ว่าโห รถจะติดไปไหนคะ กทม) และสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำคือ การที่คุณยาย เอากล่องข้าวใส่ในรถเเล้วก็ป้อน ๆ รีบกินให้เสร็จแล้วอาจจะได้งีบต่ออีกหน่อย ทำแบบนี้ตั้งแต่อนุบาล ยัน จบประถม โหบอกตรง ๆ เบื่อ แต่ว่าตอนนั้นคิดว่าทุกคนต้องเป็นแบบนี้ เลยไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เล่าเรื่องตัวเองเพื่อจะยืนยันว่า ตัวเองคือ คนหนึ่งที่ต้องประสบกับกิจวัตรที่น่าเบื่อ ไม่เห็นจะเสริมสร้างสมองส่วนไหนขึ้นมาเลย แถมคุณภาพชีวิตดูเหมือนไม่เห็นจะดีเลย

พอมีลูก มันคือสวรรค์จริง ๆ ที่เราไม่ต้องรีบตื่น รีบแต่งตัว รีบออกจากบ้าน รีบเพื่อไปเข้าอยู่ในห้องเรียน แต่ว่าเรารีบเหมือนกันคะรีบเพื่อจะได้เล่นกันวันนี้เราจะเล่นอะไรกัน 

 กิจวัตรของบ้านเรียนของเรา คือ
ตื่นนอน อ่านนิทานสองเรื่อง แล้วก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ทำอาหารเช้าร่วมกัน  แล้วตอนนี้บ้านเราปลูกผักเอง ได้กินผักอินทรีย์ของตัวเอง ม่าม๊าชอบมากๆ เหมือนว่าไม่ต้องเอาเงินไปจ่ายค่าข้าวที่ร้าน ซึ่งเค้าไม่น่าจะล้างผักสะอาดอะไรมากมาย เราได้กินข้าวอินทรีย์ ทุกอย่างออแกนิค โหยมีความสุข  ความใฝ่ฝันเลยชอบ
หลังจากนั้นเราก็จะอาบน้ำ แล้วก็เล่นfree play กิจกรรมที่โชกุนชอบมาก ๆ คือวาดรูป นั่งวาดได้เป็นชั่วโมง ๆ หลังจากนั้นก็เรียนอะไรนิดหน่อย อ่านนิทาน แล้วก็จะได้เวลาที่เราจะทำกับข้าวกันอีกเเล้ว สนุกเราสองคนคิดสูตรอาหารสุขภาพกันสองคน บางวันเราก็ลองทำอาหารโดยไม่ใส่น้ำมันเราใช้น้ำแทน บางวันเราก็ทำข้าวผัดงาใส่ไข่ หรือว่าทำแพนเค้ก แล้วใส่ชีสสอดไส้   กินกัน สนุกมากช่วยกันคิดช่วยกันทำ เปิดโอกาสให้คิดให้ทำเองจริง นี่คือการเรียนโดยไม่ต้องเข้าห้องเรียนเลย แค่เดินเข้าห้องครัวเท่านั้นเอง  แล้วได้เรียนกันวันหนึ่งตั้งสามรอบ เพราะว่าทำอาหารทาน เช้า กลางวัน เย็น

เราทำโฮมสคูลไม่ว่าเราจะอยู่ทีไหนเมื่อไหร่เราก็สอนลูกได้ ดีจริงดีจัง นับวันยิ่งชอบและมั่นใจว่าตัวเองและครอบครัวเหมาะกับระบบแบบนี้มากกว่า

ในความคิดของม่าม๊าคิดว่าคงโฮมสคูลอีกนานเลยจนกว่า นักเรียนของม่าม๊าจะบอกว่าขอไปเรียนในระบบแล้วครับเพราะว่าในความคิดม่าม๊านั้นคิดว่า
####บางทีถ้าลองเดินไม่ต้องตามทางที่คนเค้าเดินกันเยอะ ๆ บ้างมันก็น่าจะดี ตรงที่เราไม่ต้องไปเบียดเสียดกับใคร สามารถหยุดพัก สูดอากาศ หรือชมนกชมไม้บ้าง ก็ไม่มีใครว่า เพราะว่าทางนี้มันโล่ง ไม่ค่อยมีคนเดิน แต่ว่าเราเลือกเดินในทางที่เราเราได้เดินจูงมือไปด้วยกันตลอดเส้นทาง เเละคนที่เรารักมีความสุข มันก็น่าจะเพียงพอเเล้ว ชีวิตคนเรามันสั้นนัก ครอบครัวเราไม่เคยคิดแม้แต่น้อยว่าต้องรีบทำงาน ๆ  หาเงินเยอะ  ๆ (ในกรณีนี้ไม่ใช่ว่าไม่หาเงินนะคะหาแต่ว่าไม่ได้คลั้งและคิดตลอดเวลาว่าจะต้องรวย รวยเท่านั้น) เราคิดว่าคนเราชีวิตมันไม่แน่นอนมีโอกาสที่จะอยู่ด้วยกันก็ตักตวงให้มากที่สุด  และฝึกฝนเค้าในโลกของความเป็นจริงมากที่สุด มาตรงนี้บางท่านก็จะบอกว่าถ้าโลกความจริง ทำไมไม่ไปเรียนในโรงเรียน สำหรับครอบครัวเราคิดว่าโลกในความเป็นจริง เค้าต้องเจอกับคนที่อายุหลากหลายไม่ใช่เท่ากันในห้องสี่เหลี่ยมแล้วมีคนคนหนึ่งยืนอยู่หน้าห้องคะ เพราะว่าในวันข้างหน้าไม่มีทางที่เค้าจะเจออะไรที่เป็นลักษณะนี้ ในการทำงานยังไม่เคยเห็นที่ไหนมีแต่คนอายุเท่ากันทำงานห้องเดียวกัน เราแค่ทำให้ลูกเราชินกับความเป็นจริงเท่านั้นเองโลกความเป็นจริงของลูกเราต้องเจอในสิ่งที่พ่อแม่เจอ จริง ๆ บางทีโหดกว่าการที่เค้าเข้าไปอยู่ในห้องเรียนด้วยซ้ำ เพราะว่า การไปเจอคนเยอะ ๆ บางคนก็สภาวะจิตเปิด คือ ฟังแล้วคิดตาม ส่วนบางคนก็สภาวะจิตปิด คือคิดว่า การไม่เดินตามใครนั้นคือเราทำร้ายลูก แล้วพูดจาไม่ค่อยดีกลับมากับลูกก็มี แต่เราก็จะบอกว่ามันเป็นเรื่องปกตินะลูก  (จริง ๆ โฮมสคูลมีมาเเล้ว 20 ปีนะนี่) ส่วนเรื่องเพื่อน ครอบครัวเราก็เห็นลูกมีเพื่อนปกตินะคะ เล่นกับคนอื่นได้ปกติ นะคะ คนที่เข้าใจการทำโฮมสคูลจะทราบว่าเด็กพวกนี้เค้ามีกลุ่มมีสังคมของเค้า เหมือนเด็กที่เรียนในระบบปกติคะ คือมีกลุ่มเพื่อนของตัวเอง แต่ว่าเด็กโฮมสคูลอาจจะมีหลายกลุ่มหน่อย กลุ่มเรียนศิลปะ กลุ่มเล่น กลุ่มพี่ กลุ่มน้อง
และพ่อแม่ถ้าเค้าเลือกทางเดินให้ลูกทางนี้เค้าไม่ทำลายลูกตัวเองหรอกคะ เค้าต้องจัดกิจกรรมให้ดูแล้วเหมาะสม กับลักษณะของลูกจริง ๆการทำแบบนี้ก็เหมือนกับการทำ child center นะคะ ดูตามผู้เรียนเป็นสำคัญจริง ๆ เพราว่าผู้เรียนมีคนเดียว เค้าต้องมีทักษะในการดำรงชีวิต และเค้าต้องทำงานให้เป็นเร็วที่สุดใน ซึ่งคนที่จะทำหน้าที่ได้ดีคือ พ่อแม่ จุดนี้เราจึงพยายามให้เค้าได้ทำงานกับเราตั้งแต่ตอนนี้ เริ่มทีละนิดทีละหน่อย เท่าที่พอทำได้ ไม่เคยรู้สึกว่าการที่ลูกมีส่วนร่วมในการทำงานเป็นเรื่องน่ารำคาณและเด็กทำไม่ได้ เราคิดว่าไม่ต้องรอจนกระทั้งจบปริญญาตรีแล้วค่อยมาเริ่มทำงาน จุดมุ่งหมายของเราคือ อยากให้ลูกเป็นคนที่ฉลาดในการคิด และ แก้ปัญหาที่ัมันจะเกิดขึ้นในชีวิตจริง ๆ และไม่เสียศูนย์หากเจอปัญหาในวันข้างหน้า เท่านั้นเองคะ  แต่ว่าทางเดินของใครของคนนั้นคะแล้วแต่จะเลือก เราชื่นชมหมดนะคะ ไม่เคยว่าใครเลย เห็นควมสามารถของเด็กที่แตกต่างหลากหลายเราก็ทึ่งในความเก่งของเด็กแต่ละคน และครอบครัวเราไม่เคยบอกมาต้องมาทำให้เหมือนเราถึงจะดีถึงจะถูกนะคะ เพราะว่าแต่ละครอบครัวก็มีความเหมาะสมไม่เหมือกัน แต่ว่า ณ ปัจจุบันบ้านเราครอบครัวเรายังสบายใจสบายกายกับวิถีแบบนี้อยู่คะ 

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

พลังของคำพูด ที่บางทีผู้ใหญ่อย่างเราอาจะมองข้าม

วันนี้อยากจะเสนอในเรืองคำพูดที่ตีตราเด็ก อำนาจของคำพูด

คนที่เลี้ยงเด็กทุกคนย่อมรู้ดีว่าไม่มีเด็กคนไหนน่ารักตลอด 24 ชม.ตลอด 365 วัน ในแต่ละวันแต่ละเดือนแต่ละปีที่เค้าเติบโต สิ่งที่ตามมาพร้อมความน่ารัก ความฉลาดของเด็กตัวน้อย ๆ คือ ปัญหาตามวัย ซึ่งพ่อแม่และคนเลี้ยงมีหน้าที่ทำความเข้าใจวัยของเด็กและช่วยเหลือเด็กให้ผ่านพ้นไปได้ ด้วยดี

ปัญหาของเด็กมีมากมาย หนึ่งในนั้นที่เบสิคมากคือ เรื่องการร้องไห้ ซึ่งในการร้องไห้มีหลายระดับ ระดับเบา ๆ จนถึง ระดับเยอะๆ เเต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หน้าที่ของเราคือไม่ใช่ซ้ำเติม ตีตรา ใด ๆ กับเด็ก ทุกสิ่งจะผ่านไปได้ต้องช่วยเหลือกัน จริง ๆ การเลี้ยงเด็กมันเหมือนกันทำงานเป็นทีมนะคะ ควรมีการพูดจาให้กำลังใจกันมากกว่า ที่จะจับจ้องว่ามีปัญหาตรงไหน

อยากให้ผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่านลองนึกดูว่า พฤติกรรมที่ดูไม่น่ารักแค่เพียงชั่วครู่สามารถลบภาพความน่ารักออกไปได้หมดเลยเชียวหรือ ผู้ใหญ่บางท่านไม่เข้าใจก็ ว่าและตำหนิทันทีกับพฤติกรรมเด็กที่ไม่เหมาะสมอาทิเช่น  ก้าวร้าว เอาแต่ใจ อารมณ์รุณแรง ไม่น่ารัก เกเร  เป็นต้น

โดยส่วนตัวก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเด็ก แต่ว่าเเค่รู้สึกว่า บางทีเราควรยุติธรรมกับพวกเค้า ผู้ซึ่งอายุยังไม่มากไม่มาย และไม่มีทางอธิบายเท่าไหร่หนัก คิดว่า จริง ๆ ถ้าเด็กไม่ได้เป็นคนที่มีพฤติกรรมทำนองนี้ตลอดทุกครั้งก็จงอย่าเพิ่งตกใจ กรี๊ดร้อง และด่วนสรุปในทันทีขนาดนั้น คือ แทนที่เราจะไปด่วนสรุปแล้วตีตรา( label)
       "ขออธิบายถึงคำว่า การตีตรา เป็นคำพูดที่ผู้ใหญ่ไปนิยามให้กับเด็กและ การตีตราในสิ่งที่ไม่  ปรารถนา เป็นการง่ายมากที่จะตีตราที่ไม่เป็นประโยชน์ให้แก่เด็ก ซึ่งอาจจะติดตัวเธอ และมีอิทธิพลต่อภาพการมองตัวเองไปจนเติบโตเมื่อเป็นผู้ใหญ่ "(นำมาจากหนังสือ เด็กตามธรรมชาติ สำนักพิมพ์สวนเงินมีมา หน้า 90) 

เด็กในทันทีนั้น เราเปลี่ยนมาเป็นช่วยเหลือเด็ก ค่อพูดค่อยจากับเด็กน่าจะดีกว่า ดีกว่าไปสรุปเรียบร้อยเลยทันทีว่า โอ้ยเป็นเด็กงี้ ๆ เพราะว่า เค้าไม่ได้มีพฤติกรรมแบบนี้บ่อยครั้งนี้แค่ครั้งแรกและครั้งเดียวอยู่ ยิ่งถ้าเราไป ตื่นเต้นตกใจมาก และตำหนิมาก พฤติกรรมนี้อาจจะยิ่งไปกันใหญ่หรือไม่  เพราะว่า อำนาจของถ้อยคำเชิงบวกมีพลังมากแค่ไหน คำพูดถ้อยคำเชิงลบก็มีพลังมากเท่านั้น แล้วเหตุใด ผู้ใหญ่(โดยเฉพาะคนที่มีความสำคัญต่อตัวเด็ก) พูดง่าย ๆ คนในครอบครัว ที่เกี่ยวข้องกับเด็กน้อย ๆ เหล่านี้ จะส่งผ่านถ้อยคำเหล่านี้ให้เด็กฟัง หรือ คนเลี้ยงเด็กฟัง เพราะว่าถ้าเด็กยังเล็ก พูดบ่อย ๆ ก็สะสม และสั่งสอนให้เค้ามีพลังเชิงลบในสิ่งที่เราพูดนั้นละ ส่วนตัวคนเลี้ยงเด็กนั้นพอได้ยินถ้อยคำเชิงลบ แน่นอนคงไม่มีใครมีกำลังใจอะไรมากมาย คงจะหดหู่ด้วยซ้ำไป ว่า อืม เกิดอะไรขึ้นน้า เราทำอะไรผิดพลาด ทำไมลูกเราทำพฤติกรรมเหล่านี้นะ (ณ ที่นี้ไม่ได้หมายความว่า ไม่สามารถตำหนิเด็กนะคะ แต่ว่าคิดว่าควรเเทนที่การตำหนิด้วยการพูดคุยในหลักเหตุผลกันเสียมากกว่า ว่าเกิดอะไรขึ้น เเล้วพอจะช่วยกันแก้อย่างไรดีน้า คุยกันยื่นมือเข้ามาช่วย พลังเหล่านี้จะทำให้มีกำลังใจทั้งผู้เลี้ยงเด็ก และ ตัวเด็กเองมากกว่า ไม่รู้นะคะนี่พูดในฐานะ เคยมีประสบการณ์เหล่านี้มาก่อน รู้สึกได้ว่า หดหู่มาก เวลาที่ลูกทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในสายตาผู้ใหญ่ไป แล้วโดนตำหนิ คือ ลูกไม่รู้เรื่องเท่าไหร่หรอกคะ แต่ว่าตัวแม่ ซึ่งเรายอมรับว่าเราทุ่มเทเต็มที่กับลูก เวลาโดนแบบนี้เราจะรู้สึก หดหู่ แต่ว่าถ้าเราได้ยินคำพูดเชิงเข้าใจให้กำลังใจเราจะมีพลังที่ว่า จะแก้ไขยังไงต่อไป มีคนเข้าใจ แล้วปัญหาผ่านไปได้อย่างรวดเร็วกว่า

อยากให้สังคมไทยมีคนเข้าใจเด็กและปฎฺิบัติต่อเด็ก เคารพสิทธิเด็กเหมือนเด็กเป็นผู้ใหญ่คนนึง คือ ควรจะให้เกียรติเค้า ฟังเหตุผลกันก่อน อย่าใช้คำพูดเพื่อแค่ว่าอยากให้เราหายโมโห ณ ตอนนั้น หรือการทำโทษเเรง ๆ กับเด็ก เพราะว่าเค้าก็กำลังเรียนรู้และให้เกียรติ คุณและคนอื่นอย่างที่คุณทำกับเค้าเหมือนกัน


วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ประดิษฐ์บ้านตุ๊กตากัน

ม่าม๊าเป็นคนชอบบ้านตุ๊กตามาตั้งแต่เด็กแต่ว่าไม่เคยมี ชอบมันน่ารักดีและเวลาเราทำมันได้ใช้เวลาสมาธิและความคิดสร้างสรรค์ไปเรื่อย ๆ ตอนนี้สบโอกาสมีผู้ช่วยเลยมาชวนกันทำ

โปรเจ็คนี้ใช้เวลาตั้งสองวันเชียวนะ โชกุนช่วยม่าม๊าดีมาก ถึงแม้จะมีวิ่งไปมา ตามประสาเด็ก เเต่ว่าก็ช่วยเหลือได้เยอะได้ร่วมกันคิด ร่วมกันทำจนเสร็จ

เอาภาพมาฝากกันคะ พ่อแม่ ชวนลูก ๆ ทำกิจกรรมนี้ก็ดีนะคะ เค้าจะได้เรียนรู้หลายอย่างเลยคะ
เช่น
การนำเอาวัสดุที่เหลือใช้มาดัดแปลง (ข้อนี้แนนชอบมากคือลูกจะได้ซึมซับว่าอะไรที่เราสามารถใช้ได้อีกไม่ต้องทิ้งทุกสิ่ง)

ลูกได้ฝึกความคิดสร้างสรรค์นะคะ เค้าจะช่วยเราคิดช่วยเราหาอุปกรณ์

และที่สำคัญเค้าได้ความเพลิดเพลินคะ ถ้าไม่สนุกไม่เพลินทำซ้ำสองวันไม่น่ารอด

หลังจากเสร็จแล้วเค้าก็ได้ใช้จินตนาการของเค้าว่าจะหยิบจับอะไรไปห้องไหน และอยากได้เฟอร์นิเจอร์อะไรอีก สนุกดีคะ






วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คุณสมบัติของ ลูกผู้ชาย ที่ควรปลูกฝัง

ทุกวันนี้ ผู้ชาย นั้นหายากเหลือเกินที่จะมีคุณสมบัติที่พึงประสงค์ เพราะว่าอะไร เกิดอะไรขึ้น ทำไมปัญหามันมีมากมายเหลือเกิน เป็นเพราะว่า พ่อแม่ลืมที่จะ ปลูกฝัง หรือทำให้เป็นแบบอย่างให้ลูกชาย ของท่าน ๆ ดูหรือเปล่า

ยกตัวอย่างเหตุการณ์วันนี้
ม่าม๊ากำลังรอคิวซื้อข้างเกรียบปากหม้อ รออยู่จะห้านาทีละ
มีเด็กชายอายุราว 8 ขวบ มากับพ่อ

แม่ค้าคนที่หนึ่งที่รีบถามเด็กผู้ชายคนนั้น เอาอันไหนลูกเอาแบบนี้นะ(ชี้ไปที่ข้าวเกรียบปากหม้อ)

เด็กชาย พยักหน้า

แม่ค้าสองคนคุยกันให้เด็กก่อน ๆ ในขณะที่ม่าม๊า กำลังคุยโทรศัพท์สักครึ่งนาที แต่ว่าม่าม๊าไม่ได้คิดอะไร คิดว่าคงให้ม่าม๊าละ เพราะว่าตามมารยาทแม่ค้าก็ควรถามเราก่อนว่าเราจะอนุญาติให้ของที่เรากำลังจะเสร็จกับเด็กชายคนนั้นไหม

เสร็จละข้าวเกรียบปากหม้อที่รอประมาณห้าที ม่าม๊ากำลังจะยื่นจ่ายเงิน เอ้าแม่ค้าไม่ขายให้บอกว่าให้เด็กก่อน ม่าม๊ายืนงง ๆ นิดนึง ได้แต่พูดว่าเอ้าเหรอคะ

แม่ค้าบอกว่าขอบคุณพี่เค้ายังพี่เค้ายกให้หนู

ในขณะนั้นพ่อของเด็กรีบรับข้าวเกรียบปากหม้อไปแล้วหันมาขอบคุณม่าม๊า

แต่ว่าในใจม่าม๊าตอนนั้นนึกว่า เอ้า ทำไมไม่สอนลูกให้เรียนรู้เรื่องคิวซะเลยละ ทำไมรีบรับเลยคะคุณผู้ชายสมัยนี้ลูกคุณก็ผู้ชาย ถ้าคุณมัวแต่คิดว่าลูกยังเด็กแล้วเมื่อไหร่ลูกจะโตเเล้วได้เรียนรู้ว่า อะไรต้องตามคิว เราไม่ได้โกรธเด็กนะ แต่ว่าเรางง มากกับพ่อเด็ก รีบรับเลย

สักพักป๊าเดินมากับโชกุน แม่ค้าคงรู้สึกผิดว่าตายละ เมื่อกี้ ยกขนมที่ต้องเป็นของเด็กคนนี้ให้เด็กอีกคนหนึ่งไปละ

คือเหตุการณ์นี้ทำให้อึ้ง ๆ มากมาย ว่า ทำไมเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำไมเค้าไม่คิดจะสอนลูกผ่านการกระทำแมน ๆ บ้างว่า ไม่เป็นไรครับ คนนี้มาก่อนยืนรอตั้งนานเเล้ว เค้าคงไม่คิดว่าการทำการกระทำแบบนี้ลูกก็ซึมซับไปเรียบร้อยละว่า เราเด็กเราต้องได้ แต่ว่าวันหนึ่งเค้าต้องโตนะคะ เรื่องแบบนี้ไม่มีเด็กไม่มีผู้ใหญ่ คิวคือคิว ไม่มีการลัดคิว ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เช่นเข้าคิวห้องน้ำขณะที่ท้องเสียหรือว่าปวดท้องหนัก อันนั้นอาจจะขออนุญาติคนข้างหน้าไปก่อน แต่ว่านี่มาแนว ได้ก็เอาเลย ดีไม่ต้องรอคิว

ยังไงก็ฝากแล้วคิดตามกันด้วยนะคะ เราอยากให้ลูกชายของเรา ๆ มีคุณสมบัติสมกับเป็นลูกผู้ชาย ก็ควรปฎิบัติให้เค้าเห็นเป็แบบอย่างนั้นดีกว่านั่งพล่ามสอนนะคะ

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

homemade finger paints

วันนี้เรามาเล่นสีด้วยการผสมส่วนผสมที่ปลอดภัยมาก และถูกมากถ้าเราผสมเอง มีส่วนผสมดังนี้

น้ำตาล 3 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1/2 ช้อนโต๊ะ
แป้งข้าวโพด 1/2 ถ้วย
น้ำ 2 ถ้วย

ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน เคียวผ่านความร้อนจนเริ่มข้นเหนียว
พอเย็นก็ผสมสีผสมอาหารลงไปค่ะ

 หลังจากนั้นดูเอาเองตามภาพได้เลย 


ลูกช่วยทำ
(การให้ลูกได้มีส่วนร่วมในการทำอาหารหรือทำนั้นทำนี่ที่ใช้เตาแก๊สที่มีความร้อนถ้าเราให้เค้าทำบ่อย ๆ  เค้าจะเรียนรู้ที่จะรู้จักระวังเองนะคะ แนนว่าตรงนี้เราควรสนับสนุนให้ลูกมีส่วนร่วมในการทำคะ เนื่องจากในการที่เค้าเห็นเราระะวังและเราจะเตือนเค้าไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดคะ 


สีที่ได้เหมือนแป้งเปียก ทางที่ดีเล่นนอกบ้านจะดีกว่านะคะ คือเลอะแล้วฉีดน้ำเลย 

ปฎิบัติการเลอะ

แต่ว่าหลังจากเล่นเสร็จ แนนให้เค้ามีส่วนร่วมในการเก็บล้างด้วยนะคะ ทำทุกอย่างล้าง และเช็ดพื้น เค้าก็จะได้เรียนรู้ทั้งวิธีการทำและวิธีการเก็บไปเองโดยธรรมชาติคะ

วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ประดิษฐ์ สไลน์ของเล่นจากแกนทิชชู่





วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม 2555







กิจกรรมนี้ก็ทำให้โชกุนได้เรียนรู้เรื่องสี การผสมกันของสี ฝึกสมาธิในการทำงาน เพราะว่าต้องระบายสี ต้องค่อย  ๆช่วยม่าม๊าติดกาว และได้เรียนรู้การประดิษฐ์ว่าถ้าจะทำให้ของไหลลงมาต้องมีมุมยังไงวัตถุถึงจะไหลลงมาได้อย่างไม่สะดุด (มันเป็นการเรียนรู้เล็ก ๆน้อย ๆผ่านการเล่นการประดิษฐ์ ซึ่งเด็กสนุกไปด้วยกัน)