วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

แรงกดดัน

ม่าม๊าได้มีโอกาสอ่านหนังสือเรื่อง เด็กตามธรรมชาติ
เขียนโดย จอห์น บี ทอมสัน, ทิม คาน, มิลเดรด มาเชเดอ, ลิน โอลฟิลด์, มิเชลา คึกเกลอ และโรแลน มิกแฮน เขียน วิศิษฐ์ วังวิญญู แปล



หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีและอยากแนะนำอีกเรื่องหนึ่ง คือ เพื่อเข้าใจเด็กมากขึ้น เพราะว่าเด็กไม่ว่าจะเชื้อชาติใดชนชาติใด ก็มีความต้องการพื้นฐานเเละพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจเหมือนกัน ต้องการความรักและความเข้าใจวัยของพวกเค้า แต่ว่าสังคมยุคสมัยเปลี่ยนไปบางทีบางครั้งเด็กเหมือนไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ เหมือนโตเร็วเกินไป ต้องเรียนรู้ในเรื่องหนัก ๆ เกินวัย เช่น อ่านเขียนตั้งเเต่พัฒนาการยังไม่ถึงขั้นนั้น ทุกคนชอบภาพที่สวยงาม อ่านออกเขียนได้ยิ่งเร็วยิ่งดี แต่ว่าแท้จริงแล้ว ของแบบนี้เมื่อถึงวัยที่เค้าต้องอ่านออกเขียนได้เค้าจะทำได้อย่างมีความสุขและเข้าใจอะไรง่าย ๆ ถ้าวัยที่ต้องได้รับการกอด การอุ้มมากๆ เพื่อให้เค้ามีความมั่นคงทางจิตใจ เราก็ต้องตอบสนองเค้าในด้านนั้นมาก ๆ หรือในวัยที่เค้าต้องการเล่นตามวัยก็ควรจะปล่อยให้เล่นตามวัยโดยที่เราดูแลสอดแทรกเสริมให้ตรงกับพัฒนาทางด้านร่างกายและการเรียนรู้ของเค้าในขณะนั้น


หนังสือเล่มนี้พอได้อ่านแล้วเหมือนกลับไปนั่งเรียนจิตวิยาพัฒนาการอีกครั้ง ได้สาระและบางทีช่วยเตือนสติว่า เราต้องไม่เอาแรงกดดันของสังคมมากดดันลูกเรา ดังที่ในหนังสือได้เขียนไว้ว่า
ภาพเย้ายวนของเด็กเก่ง นำแรงกดดันมากมายมาสู่พ่อแม่ ผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ทำให้เรื่องนี้ย่ำแย่ลงไปอีก ผลก็คือ เด็กจะถูกสอนในช่วงเวลาที่ผิด ด้วยวิธีที่ผิด เพื่อตอบสนองเป้าประสงค์ของพ่อแม่ แต่ว่าไม่ใช่ของเด็ก เด็กต้องเสียสละความเป็นเด็กให้กับอัตตาของพ่อแม่และการค้ากำไร (หน้า 24)


คนที่น่าสงสารคือเด็ก ที่ไม่ได้ทำอะไรตามวัยแต่ว่าต้องทำตามที่สิ่งพ่อแม่ต้องการ เด็กสามารถทำให้กับพ่อแม่ที่ตนเองรักได้ เสียสละเรื่องของตนเองไม่ได้เล่นไม่ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ควรจะเรียน พ่อแม่บางคนกดดันลูกมากมายจนลืมมองไปว่า เค้าได้มีความสุขตรงตามวัยของเค้ารึยัง



เราสองคนไม่เคยคาดหวังว่าลุกต้องเก่งที่สุด ดีที่สุด  ขอเพียงอย่างเดียวเค้าได้ทำในสิ่งที่วัยของเค้าจะต้องทำหรือยัง เราคาดหวังลูกเป็นเด็กพัฒนาตามวัยและมีความสุข เพราะว่าเราสองคนเชื่อว่าวันข้างหน้าเค้าจะมีแรงเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอเค้าอีกมากมาย





วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วันนี้ issara homeschool มีเพื่อนมาเเจม

ม่าม๊าพยายามจะหาคนที่พูดภาษาอังกฤษมาเป็นให้โชกุนได้ใช้ภาษาเยอะ ๆโชคดี ที่พี่จิ๋งฟู และ อี้เซ มาเมืองไทย ระยะนี้และมีเเนวโน้มว่าจะอยู่เมืองไทยนาน ม่าม๊ารีบคว้าตัวมาก่อนเลยมาทำกิจกรรมกับเรา คาดว่าน่าจะมาร่วมกิจกรรมกันอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง  สนุกกันมากๆ วันนี้กิจกรรมของเราคือ บลูเบอรี่ชีสพาย ม่าม๊าเริ่มตั้งเเต่ไปซื้อวัตถุดิบพร้อมกันหมดที่โลตัส โอว่างแอบวุ่นวาย แต่ว่าสนุกดี เด็กสามคน ในการเที่ยวซุปเปอร์มาเก็ต มันส์มาก
หลังจากนั้นเราก็กลับมาทำบลูเบอรี่ชีสพายกันต่อที่บ้าน เอร็ดอร่อย
ดูได้จากภาพนะจ๊ะ












                                         หลังจากนั้นเราก็ไปมีกิจกรรมวาดรูประบายสีกันต่อ



สนุกสนานกันตามระเบียบตามคอนเซ็ป เรียนรู้ผ่านการเล่น 
ตามแบบฉบับ issara homeschool by mama nan

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เรียนรู้ เพาะถั่วงอก ไร้สารเคมี ทำน้ำฟักข้าว

วันนี้ไปเรียนรู้มาที่ศูนย์การเรียนรู้ที่เดิม ที่บ้านคุณป้าอรุณี มีพี่ ๆ จากโรงเรียนอะไรไม่รู้ม่าม๊าจำไม่ได้มาเรียนรู้ด้วยกันสนุกดี พวกพี่เค้าโต ๆ กันหมดเเล้วโชกุนตัวเล็กจิ๊ดเดียว(โชกุนจะดูตัวเล็กเมื่อเทียบกับเด็กประถม 555) เอารูปมาฝากนะครับ
ได้เรียนรู้ทั้งการทำน้ำฟักข้าวได้ชิม ได้เรียนรู้การเพาะถั่วงอกไร้สารเคมี แต่ว่าทั้งหมดนี้เราต้องกลับนำมาทำกับลูกอีกที กิจกรรมพวกนี้เด็กชอบและสนุกเพราะว่าเค้าได้สัมผัสของจริง ๆทำจริง ๆ วันหลังไร่อิสระของโชกุน เข้าที่เข้าทางกว่านี้ม่าม๊าจะชวนเพื่อนมาเรียนรู้ที่บ้านเราบ้าง


 
 แปลงนาไร้สารเคมี อันนี้เราไปเดินเที่ยว เราก็เจอ เต่าทอง ปูนา หนอน ของจริง ๆ







เป็นอันว่าวันนี้สนุกได้ความรู้ ไปไว้ทำเองที่บ้านกัน เดี่ยวม่าม๊าชวนทำอีกแน่นอน

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ไปเก็บผักที่ศูนย์การเรียนรู้ผักอินทรีย์

ม่าม๊าป่าป๊าไปส่งผักที่บ้านป้าอรุณี เพื่อไปขายที่ตลาดสุขใจ โชกุนไปเล่นที่นั้นได้นานมากเพราะว่าเป็นพื้นที่โล่ง (ห้องเรียนของโชกุนกว้างมาก ) เจอ หนอน จับ หนอน ดูว่าหนอนเดินยังไง มีขากี่ขา เล่นกับเเมว เก็บผัก เก็บต้นไม้พูดคุยกับลุงๆ ป้า ๆในศูนย์การเรียนรู้ว่านี่คือต้นอะไร ได้รู้จักผลต้นฟักข้าว เดินไปเล่นในบ้านดินจนก่อนกลับช่วยป้าอรุณี เก็บผักเพื่อไปขายในวันรุ่งขึ้นด้วย สิ่งที่ได้จากกิจกรรมนี้ โชกุนได้เรียนรู้จากธรรมชาติในโลกกว้าง เรียนรู้การเก็บผักวอเทอร์เครส เรียนรู้การช่วยเหลือผู้อื่นในการทำงาน(เล็กๆน้อยๆ) เรียนรู้ในการปฎิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ ต้องคุยให้เหมาะสมใช้ถ่อยคำที่สุภาพ จริง ๆ ได้มากมายกว่านี้ม่าม๊านึกไม่ออกเเล้ว

วันพุธที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เอามาฝากกันคะ ได้ดูทีวีเล่นเกมคอมพิวเตอร์ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไรเนาะ


เอาวิดีโอคุณหนูดี มาฝากคะ บ้านเราออกเเนว ๆ นี้เหมือนกันอะคะ(ออกตัวก่อนนะคะไม่ได้อยากจะให้ลูกต้องเป็นเลิศนะคะ เเบบคุณหนูดีนะคะ เพียงแค่อยากให้เค้ามีโอกาสสนุกและเรียนรู้ในแบบฉบับเด็ก ๆ ของเค้าเต็มที่ รากฐานของทุกเรื่องอยู่ที่ วัยเด็ก วัยที่สำคัญที่สุดเค้าจะกลายเป็นคนอย่างไรก็วัยเด็กนี่ละที่เป็นตัววางรากฐาน)  อยากให้เด็กได้มีโอกาสสัมผัสกับสิ่งจริง ๆ เรียนรู้จากโลกภายนอกจริง ๆ มากกว่าทีต้องมานั่งเรียนรู้อะไรในห้องเหลี่ยม ๆ จอเหลี่ยม ๆ คะ เทคโนโลยีมันเร็วเกินไปที่จะใช้กับเด็ก พัฒนาด้านอื่น ๆ ก่อน เเล้วทักษะตรงนี้ถามาในเวลาที่เหมาะสมมันจะมีประโยชน์มหาศาล  ถ้าเค้ายังเขียนหนังสือไม่ได้ทำไมต้องรีบให้เค้าได้ใช้คอมพิวเตอร์ด้วย  ในความคิดของเราสองคนเราคิดว่า การที่เค้าได้ค่อย ๆ ฝึกเขียนหนังสือ มันฝึกหลายอย่างทั้งสมาธิ ความจดจ่อ และการทำอะไรที่มันช้า ๆ เป็นขั้นเป็นตอน แต่ว่าถ้าเราให้เค้าใช้คอมพิวเตอร์เร็วเกินไป มันดูเหมือนว่าจะทำให้เค้าใจร้อน รอคอยอะไรลำบากจัง เพราะว่าการพิมพ์นั้นเร็วกว่าเยอะ เราเองพอได้มาใช้คอมพิวเตอร์ก็ไม่อยากจะเขียนหนังสือสักเท่าไหร่ เราว่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ดี ดังนั้น เด็กควรมาทีละขั้นมากกว่า วัยเด็กเล็กวัยอนุบาล ม่าม๊ากับป่าป๊าของโชกุนคิดว่า ให้เล่นให้ได้ใช้และพัฒนาศักยภาพทางร่างกายไปให้มาก ๆ ก่อน แล้วมันจะส่งผลไปถึงความฉลาดด้านอื่น ๆ เอง เพราะว่าเด็กที่ไม่เคยเล่นได้มีกิจกรรมก็จะขาดประสบการณ์ จริง ๆ มันดูไร้ชีวิตชีวา เสียดายความเป็นเด็กที่ควรจะได้เรียนรู้ผ่านการเล่นและโลกกว้าง

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ปลูกต้นไม้

โชกุนชอบเรียนรู้การปลูกต้นไม้ วันนี้อยากลองปลูกต้นมะเขือ โชกุน ก็ไปเก็บมะเขือสองลูกมาหั่นเพื่อเอาเมล็ด มาปลูก ดูจากตามรูปกันเลย แล้วมารอดูกันว่าจะขึ้นมั้ยนี่






                                       

หนังสือ

ม่าม๊าอ่านหนังสือให้โชกุนฟังตั้งเเต่เกิดได้สองสามอาทิตย์ เนื่องจากตอนนั้นไม่รู้จะทำอะไรกับลูกเลยนอนอ่านหนังสือให้ฟัง ปรากฏว่าอ่านมาตลอดยันป่านนี้จะสี่ขวบเเล้ว ชอบอ่านหนังสือ(หมายถึงชอบที่จะฟังจะหยิบจับหนังสือนะคะ )เดี่ยวไปคิดกันว่าอ่านออก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แค่นี้ก็เป็นพื้นฐานที่ดีเเล้วนิสัยรักการอ่านน่าจะเริ่มติดตัวเค้าเเล้วเพราะว่าสามารถที่จะนั่งอ่านหนังสือ และชอบให้อ่านหนังสือให้ฟัง บ้านเราก็ซื้อหนังสือกันบ่อย ๆ นอกจากการซื้อหนังสือแล้ว ของฟรี ๆในอินเตอร์เน็ตก็มีเยอะแยะ มีหนังสือนิทานสั้น ๆ ให้โหลดมาพิมพ์ฟรี ของแบบนี้ห้ามพลาด
จำได้ว่าเคยให้เว็ปนี้ไปแล้วแต่ว่าวันนี้ให้อีกรอบละกันเพื่อว่าบางคนอาจจะเพิ่งเคยเปิดเข้ามาดูจะได้มีข้อมูลไปพิมพ์ให้ลูกอ่านเล่น สำหรับเด็กเริ่มหัดอ่าน และสำหรับคนลูกยังไม่ถึงวัยอ่านออกก็อ่านหนังสือให้ลูกฟัง อบอุ่น และ น่าจะดีต่อสมองมากกว่าให้ดูทีวีนะคะ ลองดู ๆเผื่อใครสนใจคะ

http://www.dltk-teach.com/minibooks/index.htm


นี่คือส่วนนึงที่โหลดมาจากเว็ปที่ให้ไว้คะดีนะคะ ประหยัดและที่สำคัญเป็นประโยคง่าย ๆ เราไว้สอนลูกทั้งพูดและเริ่มหัดอ่านได้เลย ในเว็ปก็จะมีกิจกรรมต่าง ๆมากมายด้วยคะ
ที่แน่ ๆ เรามาช่วยกันปลูกฝังให้เด็กไทยมีนิสัยรักการอ่านกันเยอะ ๆ ดีกว่าคะ









วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

จริง ๆ เรา ก็คนปกติไม่ได้บ้าหรือว่าสวนสังคมอะไรนี่คะ

จริงๆ ตั้งเเต่ตัดสินใจจัดการเรียนการสอนลูก เอง ก็มั่นใจมากอยู่เเล้วว่า คงไม่พ้นขี้ปาก จากด้วยความเป็นห่วงของผูัหวังดี(รึเปล่า)ในสังคม บางทีบางคนไม่เคยเจอลูกเราด้วยซ้ำไปกลับเอาลูกเราไปเม้าท์ ได้ ขอบอกว่าเก่งมาก สามารถเม้าท์ได้

สิ่งที่ม่าม๊าต้องเจอนะลูก
ครอบครัวนี้มันบ้า มันสวนกระเเสสังคม แปลกแยก อีกหน่อยลูกอยู่ในสังคมไม่ได้ ไม่มีใครคบ ลูกกลัวคน เอาง่าย บ้าไปเลยดีกว่าคำเดียว จะได้เข้าใจไปเลย 555

ทุก ๆ ครั้งที่ได้ยิน รู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก สิ่งที่เราทำไม่ได้ผิดกฏหมายแต่อย่างใด ไม่ได้ทำให้ผู้ใดเดือดร้อน ไม่ได้ขอเศษบุญใครในการดำรงชีวิต ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร แล้ว ทำไมถึงพูดนินทาว่าร้ายกันมากมายขนาดนี้ ว่าเราสองคนพ่อแม่เราจะไม่อะไรเล้ย แต่ว่าเอาเด็กน้อยสามสี่ขวบ ไปเป็นขี้ปากด้วย บอกว่า  เด็กคนนี้กลัวคน แต่ว่าตัวคนพูดไม่เคยเจอลูกเเม้แต่ครั้งเดียวแต่ว่าสรุปเอาเองจากการดูว่าเราไม่ได้ให้ไปโรงเรียนเค้าต้องไม่เคยเจอคนอื่น (เฮ้อ ก่อนจะพูดไรน่าจะดูว่าเค้าทำอะไรกับลูกเค้าบ้างนะคะ) หรือว่า เด็กคนนี้อยู่แต่กับพ่อแม่อีกหน่อยเล่นอะไรก็แพ้ไม่เป็น

ขอบอกตรงนี้เลยนะคะ ขอขอบคุณมากในความหวังดีของท่าน ๆ ทั้งหลาย เราเลี้ยงลูกเราเราเองก็พาไปเจอคนหลากหลายมากมายคะ ไม่ได้เก็บลูกไว้ห้ามให้เจอคน ลูกเราไปเข้าคอสต่าง ๆ ที่เจอเด็ก ๆ พาไปเจอคนในหลากหลายสังคมคะ เช่น พ่อเค้าตีกอล์ฟ เค้าก็ต้องไปเจอสังคมคนตีกอล์ฟกับพ่อเค้า แม่ชอบ ไปเจอเพื่อน เค้าก็ได้ไปเจอเพื่อนในกลุ่มของแม่ที่แม่พอจะมีกำลังไปมาหาสู่ เป็นต้น  เค้าคือคนปกติ คะ เค้าเจอคนเยอะหลากหลายอายุ เจอสิ่งที่เรียกว่าสังคมจริงๆ ไม่ใช่สังคมที่ต้องอายุเท่ากันเป๊ะในหนึ่งห้องแล้วมีคนน้ำทีมยืนอยู่หน้าห้องอะคะ หรือว่าที่เจอๆ ทุกวันนี้เค้่าไม่ใช่คน ต้องเจอคนเฉพาะการไปโรงเรียนเท่านั้น

ส่วนเรื่องแพ้ชนะ บอกตรง ๆ เราไม่เคยเล่นเกมอะไรแพ้ชนะกับลูกเราเลยมีแต่เล่นด้วยกัน คำว่าเเย่งกัน เช่น แย่งกันกิน ยังไม่เคยพูดเลย มีแต่แบ่งกันนะลูก แข่งอะไรไร้สาระเราก็ไม่เคยทำเช่น กินข้าวแข่งกัน เพราะว่าไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเเข่ง กินต้องกินเร็ว ด้วยเหรอแล้วต้องกินให้หมดด้วยเหรอถ้าอิ่มเเล้ว เลยงงว่าลูกจะแพ้ไม่เป็นได้อย่างไร เรื่องเล่นเกมกันเเล้วอยากแต่ชนะน่าจะเป็นตามวัยที่อยากจะชนะ แต่ว่าเราบอกตรง ๆเกมอะไรที่มันต้องชนะต้องแพ้นี่แทบไม่ได้เล่นเลย มีแต่หาอะไรที่มาเล่นด้วยกันช่วยกันทำ  แต่ว่าส่วนเกมที่มันมีแพ้ชนะจริง ๆ เช่น เกมในกีฬา เราเล่นกันเค้าก็เข้าใจว่า คราวนี้ชนะคือถึงคราวของอีกคนเล่น การที่บางอย่าง เค้าไม่เข้าใจว่าแพ้ชนะคืออะไรเราคนแก่น่าจะไปตัดสินเค้าเอง จริงๆ เค้าน่าจะแค่อยากจะเล่นๆ อยากจะเอาอีกๆ ไม่สิ้นสุดมากกว่า เลยว่าเค้าเเล้วว่าเเพ้ไม่ได้ บางทีบางเรื่องมันก็ต้องอาศัยเวลาค่อย ๆ เรียนรู้กันไปใจเย็น ๆ (คำเดิม) ที่ใช้มาเเทบทุกบทความ ใจร้อนไปก็เท่านั้น

เมื่อเราตัดสินใจที่จะสอนลูกเองดูแลลูกเอง นั้นหมายความว่า เราต้องดูว่ามันจะมีรูรั่วตรงไหน เราต้องพยายามอุดรูนั้นอยู่เเล้วคะ

เราสอนลูกเองไม่ได้ต้องการให้ลูกเป็นเลิศที่สุดในสังคมในโลกนี้ แต่ว่าเราแค่ต้องการให้เค้าพัฒนาไปตามขั้นพัฒนาการที่สมควรเป็นและเค้าได้มีโอกาสเป็นโอกาสทำ เราสองคนสอนลูกไม่เคยใช้คำพูดว่าหัดทำสิ หัดนั้นสิหัดนี่สิ รู้จักฝึกสิ ไม่เคยใช้เลยมีแต่ ทำเเล้วชวนมาทำด้วยกันพอเค้าสนใจเค้าก็จะมาทำตามเอง เค้าได้มีโอกาสใช้คำถามมากมายถามกับพ่อแม่ในสิ่งที่เค้่าสงสัย เราก็มีหน้าที่หาคำตอบไปทีละเรื่องตามความสงสัยลูกบางเรื่องพ่อแม่ไม่รู้ก็ไม่เป็นไรไม่ใช้ว่าต้องถามทันทีต้องรู้ทันที บางเรื่องมันไม่รู้จริง ๆ ก็ต้องขอเวลาไปค้นก่อนเเล้วจะมาอธิบายนะลูก พออีกวัยนึงเค้าอ่านหนังสือออกก็ต้องกระตุ้นให้เค้าไปค้นกับเรา ก็เท่านั้นเอง

บ้านเราไม่เน้นเร่งรีบเน้นสบายๆ ตามวัย ที่สมควรจะเป็น และ อยู่ในสังคมปกติ สังคมจริง ๆ เท่านั้นเอง
อย่าเอาเด็กไปว่าลับหลังอย่างนี้เลยสงสารเค้าจัง ยังไร้เดียงสาอยู่เลยรู้จักก็ไม่เคยรู้จัก  นี่ละน้าเค้าถึงว่าห้ามอะไรห้ามได้ห้ามความคิดคนไม่ได้  เขียนมานี่ก็แค่ปลง ๆ รึเปล่า เพราะว่าไม่เคยนั่งอธิบายให้ใครฟังมีแต่ทำๆ ไป วันนึงคนอื่นเค้าคงเข้าใจและเห็นเองว่าเราทำอะไรอยู่ แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ เราได้จากการที่เรามีลูก คือ ความอดทน อย่างแท้จริง ยิ่งมาทำโฮมสคูลยิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่า โฮ้โหนี่ขนาดเราไม่ได้ทำอะไรผิดกฏหมายอะไรนะนี่ ก็พยายามทำตัวเป็นประโยชน์ในสังคมนะยังสู้อุตสาห์ ได้รับความปรารถนาดีมากมายขนาดนี้ บางคนทำหน้าตาแอนตี้ซะ อย่างกับเราไปโฮมสคูลลูกเค้า เราก็ทำกับลูกเรานะทำไมว่ากันซะอย่างกับเราไปดึงลูกเค้ามาสอนเอง แปลกจริงมนุษย์ พอเห็นคนอื่นทำอะไรไม่มีตนเองก็ผิดหมด  ทำไมเราไม่เห็นจะแอนตี้คุณเลยส่งไปโรงเรียน เราไม่ส่งไปเวลานี้ ก็เเค่เรายังมีความสุขและลูกก็ยังมีความสุข ที่จะเรียนรู้แบบนี้  ระบบโฮมสคูลไม่เหมาะกับลูกคุณ ๆ แต่ว่าระบบโรงเรียนแค่ไม่เหมาะกับลูกเราเเล้วเราเลือกจะทำเองจัดการเรียนการสอนเองมันผิดตรงไหนนี่ !!!!!!!   ไม่ใช่โรงเรียนไม่ดี โรงเรียนดี แต่ว่ายังไม่เหมาะกับลูกเราไม่เหมาะกับครอบคัวเราเท่านั้นเอง เราเลือกในสิ่งทีเหมาะกับเราคะ

แต่ว่าขอถามหน่อยว่า มันผิดตรงไหนนี่ที่ครอบครัวเราเลือกส่งลูกไปโรงเรียนในอายุที่มากกว่าอายุตามาตรฐานโรงเรียนอนุบาล เนี่ย คือ มันเป็นเครื่องตัดสินแล้วเหรอว่า ลูกจะต้อง ล้มเหลวในการดำรงชีวิตในสังคม อย่าเพิ่งตีตราเด็กขนาดนั้นดีกว่ามั้ยคะ มีสติหน่อย การศึกษาภาคอนุบาลก็ไม่ใช่ภาคบังคับ ประเทศหลาย ๆ ประเทศส่งเสริมให้เด็กแรกเกิดถึงหกขวบอยู่กับครอบครัวก่อนให้ขีวิตวัยเด็กพ่อแม่ได้มีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ของลูก  การที่ตำหนิมาแบบนี้มันแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะ และ ความไร้สติจังเลยของผู้ที่ว่า  และเลวร้ายมากที่สุดคือการเอาเด็กที่ไม่รู้เรื่องและคุณก็ไม่เคยสัมผัสไม่เคยเจอเค้าไปว่า  บอกตรง ๆ ใจร้ายจัง