วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

มาทำอาหารกันดีกว่า


โชกุนกำลังช่วยห่อเกี๊ยวครับ

กำลังทำขนมปังเป็นรุปทรงต่าง ๆ แล้วทาเเยม ให้ป่าป๊า ม่าม๊าครับผม



อีกหนึ่งกิจกรรมที่โชกุนมีส่วนร่วมตลอดเวลาคือ การทำอาหาร เพราะว่าเป็นกิจกรรมที่ผู้ใหญ่ทำเด็กอยากทำด้วย เราสนับสนุนให้ลูกได้มีส่วนร่วมในการทำอาหารทุกครั้งถ้าเป็นไปได้

กิจกรรมเเบบนี้ก็บูรณาการนะจ๊ะถ้าเราจะเอาหลาย ๆ วิชามาในกิจกรรมนี้ เช่น (ต้องบอกว่าเช่นเพราะว่าจริงๆ ได้หลายวิชา)
-คณิตศาสตร์
เค้าได้เรียนรุ้เรื่องรูปทรง ได้นับเลข

-ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย
ม่าม๊าก็เป็นคนพูดไปสิในเรื่องที่เค้าทำอยู่เป็นภาษาอังกฤษ หรือว่าสอนคำศัพท์จากสิ่งที่เค้าเล่นอยู่ เช่น bread box etc เรียนรู้คำศัพท์มากมายและประโยคง่าย ๆ อีกเยอะเเยะ

-ความรู้รอบตัวง่าย ๆ
ได้เรียนรู้ว่าขนมปัง ทำมาจากอะไร แผ่นเกี๊ยวทำมาจากอะไร
เป็นต้น

ทุกกิจกรรมที่เราทำสามารถสอดแทรกได้หลากหลายวิชามากเลยนะคะ และที่สำคัญเด็กชอบคะเรียนโดยทีไม่ได้รู้สึกว่า นั่งเรียน แต่ว่ารู้สึกว่าเหมือนนั่งเล่นมากกว่า และอีกอย่างอุปกรณ์ก็มีอยู่เเล้วไม่ได้ซื้อหาอะไรใหม่พิเศษ ของง่าย ๆในบ้านคะ

ลองทำกันดูนะคะสนุกจริง เด็กมีเวลานั่งนิ่ง ๆ นานด้วยคะ



วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555

บ้านเรียน ในสื่อ

มีโอกาสได้หา vdo ใน you tube เกี่ยวกับบ้านเรียน ในสื่อ มาเเบ่งปันให้ดูคะ





เราเเค่อยากให้ลูกได้เรียนรู้ตามวัย และ ได้มีจินตนาการ เท่านั้นเอง ไม่อยากให้เค้าโดยละลายโดยกระเเสสังคมมากหนัก
และจะบอกว่า สิ่งที่สำคัญ ในการเลี้ยงเด็กและการให้การศึกษาเด็กเองนั้นก็คือ พ่อแม่ควรจะต้องศึกษา พัฒนาการหรือศึกษาทางด้านจิตวิทยาพัฒนาการ เพราะว่าจะทำให้เราเข้าใจวัยเด็กว่าเค้าต้องการอะไร และควรจะพูดสื่อสารอย่างไรกับเค้า เคยมีคนบอกว่าม่าม๊าเรียนมาทางด้านจิตวิทยาพัฒนาการมันก็เเค่ทางทฤษฎี นักวิชาการ ใช่สิ่งเหล่านั้นคือวิชาการ แต่ว่าสิ่งเหล่านั้นคือความจริงและธรรมชาติของเด็กและมนุษย์ที่จะต้องเป็น เพียงแต่นักวิชาการเค้าได้ทำการศึกษาเก็บข้อมูลเเล้วนำมาเขียนเป็นตำราเพื่อเป็นเเนวทางและความรู้ให้กับผู้อื่น จริงๆ อย่างที่เเม่ส้ม(ในวิดีโอพูดไว้ว่า มันก็คือหลักธรรมะ นั้นละ คือสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่จะต้องเกิดนั้นเอง) ดังนั้นความรู้ที่ม่าม๊าได้เรียนมานั้นทำให้มีเเนวทางมากในการเลี้ยงดูเด็ก อะไรควรจะให้เวลาไหน อะไรควรจะสื่อจะพูดอย่างไรให้เด็กมีเเรงกระตุ้น ในการเรียนรู้และมีความมั่นใจในการพูดคุยซักถามกล้าที่จะสงสัย ไม่ใช่ แม้กระทั้งสงสัยเด็กบางคนยังไม่อยากจะสงสัยเลยเพราะว่าเค้ากลัวว่าถามไปแล้วจะโดนผู้ใหญ่รำคาณหรือว่าตอบมาเเบบขอไปที
เพราะว่าไม่มีใครจะมาเข้าใจและรู้จักลูกเราได้ดีกว่า ตัวของเราเอง

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

เรื่องกินข้าวกับเด็ก

วันนี้มาเขียนเรื่องกินข้าวเพราะว่านึกออกว่า เป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งสำหรับพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกเล็ก (ลูกตัวเองเลยวัยนั้นมาเเล้ว เลยสามารถอธิบายได้)
หลายครอบครัว มักจะไม่ค่อยปล่อยให้เด็กได้นั่งเก้าอี้ตนเองเพื่อฝึกการรับประทานอาหาร เเละไม่ค่อยปล่อยให้ลูกได้หยิบจับสัมผัสอาหาร เพราะว่าเหตุผลคือ โอ้ย กลัวเลอะ ขี้เกียจเก็บ หรือ บางรายบอกว่า เนี่ยปล่อยให้เล่นเเบบนี้อีกหน่อยไม่มีมารยาทบนโต๊ะอาหาร (อันนี้เเอบทำให้รู้ว่าคนพูดไม่มีความรู้เรื่องเด็ก แต่ว่ามีกฏมารยาทสังคมล้นสมอง) การที่พ่อแม่หลายคนคิดเเบบนั้นเป็นการปล่อยโอกาสทางการเรียนรู้ของลูกให้ผ่านไป เรื่องแบบนี้ต้องปล่อยและส่งเสริมให้เรียนรู้ การที่เด็กนั่งโต๊ะรับประทานอาหารพร้อมผู้ใหญ่นั้น ในส่วนที่ของเค้า เค้าได้เรียนรู้ สิ่งเหล่านี้
1 มารยาทบนโต๊ะอาหาร(โดยที่เราไม่ต้องสอนอะไรเลย เค้าจะสังเกตและซึมซับของเค้าเองว่า นี่คือเวลาทานอาหาร นี่คืออุปกรณ์บนโต๊ะอาหาร) เรื่องมารยาทไม่จำเป็นต้องพูดพล่ามสอน ใช้วิธการทำเป็นแบบอย่าง
เช่น ไม่ต้องสอนเด็กหลอกคะว่า เวลาทานข้าวต้องปิดปากนะผู้ดีมีมารยาท ตราบใดที่คนในครอบครัวโดยเฉพาะพ่อแม่ไม่ได้เคี้ยว เสียงดังประหนึ่่งหมูในเล้า เค้าก็จะเลียนแบบเอง เพียงแต่ว่าในอายุของเค้าที่กล้ามเนื้อปากยังไม่เเข็งเเรงพอที่จะบังคับให้ปิดตลอดเวลาในเวลาที่เค้าเคีัยว มันก็จะต้องมีเสียงบ้างเป็นต้น
หรือ ไม่ต้องบอกเด็กหรอกคะว่า นี่ ๆ เวลาทานข้าวห้ามพูดนะข้าวอยู่ในบากอะ จะบอกว่า เราต้องดูตัวเองก่อนว่าไอ้ตอนที่เตือนลูกอะ ข้าวอยู่ในปากคุณหรือเปล่า ถ้าอยู่ในปากก็ไม่ต้องเตือนหรอกคะเพราะว่าคุณยังข้าวเต็มปากเลย

2 การที่เด็กได้เริ่มหัดนั่งเก้าอี้ตนเองเเล้วทานข้าวนั้น เค้าได้มีโอกาสใช้ประสาทสัมผัส จับ ขยำ อาหาร เค้าได้เรียนรู้ เลอะเเน่นอน แต่ว่าคุ้มแน่นอน เพราะว่าการที่เริ่มเร็วแสดงว่าเค้าได้เรียนรู้ในสิ่งที่เค้าอยากรู้เเละสนใจเร็ว โชกุนนั่งเก้าอี้ทาานข้าวตั้งเเต่หก เดือน หลังจากที่เริ่มกินอาหารเสริมจากนมแม่ ขอบอกว่าเละสุด ๆ ไม่มีมื้อไหนไม่เละ แต่ว่าสิ่งที่ได้คุ้มสุด เค้าสามารถ ทานอาหารเองได้ค่อนข้างคล่อง เเละ เหมือนจะมีทักษะบางอย่างที่เราไมได้ฝึกแต่ว่าเหมือนกับเค้าเห็นจากพ่อแม่เเละคนรอบข้าง เช่น เวลาทานปลา เเล้วมีก้าง สามารถเอาก้างออกมาเองได้ตั้งเเต่ขวบนิด ๆ เหมือนเคยเห็นท่าทางอาการว่่า เวลาแม่ทานปลามีก้างแม่จะทำแบบนี้นะเเล้วเอาออกมา ลูกเราเลยไม่มีปัญหาก้างติดคอ (อันนี้คิดเอาเองนะคะว่าเป็นเพราะว่าเหตุนี้หรือเปล่า)

3 การที่ไม่ให้ลูกนั่งเก้าอี้เเล้วเดินป้อนอาหารให้ลูกเล่นไปกินไปนั้นเพราะว่ากลัวลูกจะกินไม่เยอะเดี่ยวไม่โตสู้เด็กข้างบ้านไม่ได้ เป็นการสั่งสอนมารยาทที่ไม่ดีโดยที่เราไม่รู้ตัวนั้นละคะ แล้วคุณจะต้องเดินป้อนไปอีกนาน

4 เด็กที่ได้มีโอกาสในการทำเองเรียนรู้เองในการรับประทานอาหาร เค้าจะทานอาหารเองเป็นเร็ว มาก ลองดูนะคะ

เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆแบบนี้จริง ๆ พ่อแม่ควรให้ความสำคัญ ฝึกให้ทำ ตั้งเเต่เค้ายังเล็ก ดีกว่าไปสอนอะไรที่ยังไม่จำเป็นนะคะ เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องทักษะขีวิตที่เค้าต้องเรียนรู้ ทุกสิ่งมีการเรียนรู้เเทรกตลอดไม่จำเป็นต้องสวยงาม สะอาด ตลอดเวลา การที่เด็กเล่นเลอะ แต่ว่าสมองเค้าไม่เลอะนะคะ สมองเค้าได้มีข้อมูลใหม่ๆ เข้าไป แต่ว่าถ้าเราชอบลูกสะอาดๆ ตลอดเวลา อันนั้นสมองเค้าน่าจะว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยนะคะ



ตอนที่เริ่มนั่งได้ ก็ให้เริ่มหัดนั่งเก้าอี้ที่สามารถปรับเอนได้ (เก้าอี้ตัวนี้ก็ตัวที่ไว้สำหรับทานข้าวนั้นละคะ สารพัดประโยชน์มาก และเป็นแบบพลาสติกยิ่งดีมากเลย เพราะว่าทำความสะอาดง่ายมาก ขอเเนะนำนะคะมีเเอบเชียร์สินค้าอีก )

เเล้วเมื่อนำมาติดกับเก้าอี้ผู้ใหญ่ ตอนนี้จะเริ่มให้เค้าจับอุปกรณ์ พวก ช้อน จาน

ตอนนี้ยังเพิ่งเริ่มจึงใช้การป้อนก่อนสักระยะนึง แล้วสังเกตุได้ว่าลูกอยากทำเอง

ก็เลยปล่อยให้มีจานนึงของตนเอง ผลปรากฏสวยงามมากบนโต๊ะท่าน จนต้องออกมานอกบ้านดีกว่าเสร็จเเล้วอาบน้ำเลย ทีเดียว ระหว่างนี้เค้าก็ได้จับ ขยำ สัมผัส อาหาร





สบายมากเลยครับผมทานอาหารเองคล่องเร็วมาก ไม่มีปัญหาวุ่นวายเลยครับผม

ปล. นี่คือสิ่งที่เราทำมาเเล้วได้ผลอย่างที่บอกไป อาจจะไม่ตรงกับบางครอบครัว แต่ว่าเราแค่นำมาแบ่งปันสิ่งที่เราทำมาแล้วผ่านมาเเล้วนะคะ

วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

โชกุน กับ ทีวีและคอมพิวเตอร์

บ้านเรา ไม่มีการเลี้ยงลูกไป เล่นคอมพิวเตอร์ ไป หรือดูทีวีไป ด้วยเพราะว่าบ้านเราต้องการให้เวลาเลี้ยงลูกคือเลี้ยงลูก เล่นกับเค้าและสนใจที่เค้าจริง ๆ ซึ่ง สิ่งที่เราโดนมาตลอดเลยแน่นอนเราโดนจากคนในครอบครัว แน่นอนว่า ทำอะไรประสาทเกินไป แต่ว่าเราขออนุญาติ อธิบาย แบบเหตุผลกัน ณ ที่นี้เลยดีกว่า
เราสองคนไม่นิยมชวนเชิญลูกมานั่งดูทีวี เล่นคอมพิวเตอร์ เพราะว่า เราอยากให้เค้า ได้ทำกิจกรรมกับเรามากกว่า หรือ อ่านหนังสือร่วมกับเรามากกว่า และอยากให้ลูกไม่นั่งจ่อม อยู่หน้าจอเหลี่ยม ๆ จากวันละนิดวันละหน่อย สองนาที เป็นสองชั่วโมง

แล้วทำไงละในโลกนี้มีทีวี ทุกสถานที่ กี่พันล้านเครื่องเเล้วไปที่ไหนก็มี
ขอตอบว่า
ในที่ที่ไม่ใช่พื้นที่ของเรา ใครจะทำอะไรเราไม่เคยห้ามเค้าดูทีวีอยู่เรื่องของเค้า ถ้าเลือกไม่ได้คงต้องอยู่ แต่ว่าถ้าเรื่องที่เค้าดูชมอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ รุณเเรงมากเกินวัย เกินความจำเป็นของวัย เราเลือกที่จะห่าง เช่น ละครน้ำเน่า ตบตีเเย่งชิง คำหยาบ เตะตี เพราะว่าเราไม่ต้องการให้เค้าได้รับหรือเป็นผู้รับในสิ่งที่เค้ายังไม่ควรได้รับรู้เร็วเกินไปหนัก
แต่ในกรณีที่ที่เราไปนั้นเค้าเปิดทีวี แต่ว่าบังเอิญเป็นเรื่องที่ลูกของเราสองคนสนใจ เช่น สารคดี หรือเครื่องบิน โอเคอันนี้เราห้ามเค้าไม่ได้หรอก คือ อีกอย่างเลี่ยงไม่ได้ อันนี้แม่หรือพ่อจะนั่งข้าง ๆ แล้วคอยอธิบายให้เค้าฟัง ไม่ปล่อยให้นั่งดูอยู่คนเดียวเพราะว่าเมื่อเค้าสงสัยหรือมีคำถามอะไรเค้าจะได้ถามเราได้ทันที
แต่ว่าเราสองคนจะมีเรื่องต่อยอดจากสิ่งที่เค้าดูคือ เช่น กลับบ้านมาอ่านหนังสือเล่มที่เค้าสนใจในทีวี หรือ หาภาพจากคอมพิวเตอร์ในเรื่องที่เค้าสนใจ(เราหาเองเเล้วพิมพ์ไปให้เค้า) ซึ่งก็จะทำให้ต่อมอยากรู้ของเค้าได้ทำงานต่อไป แต่ว่าถึงเเม้เราสองคนจะทราบดีอยู่เเล้วว่าลูกชอบดูสารคดี พวกชีวิตสัตว์ เราก็ไม่ได้ประเคนซื้อเเผ่นหรือว่าป้อนข้อมูลให้เค้าจากการให้เค้าดูจากทีวี หรือคอมพิวเตอร์ เราจะพาเค้าไปดูจริง ๆ เช่นที่โรงพยาบาลสัตว์ กำแพงเเสน หรือว่า ที่สวนสัตว์ แล้วเราเองก็จะหาข้อมูลมาพร้อมภาพมาอธิบายพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ ไม่เน้นว่าต้องรู้ทุกสิ่งภายในวันนี้ เราเน้นพูดคุยเหมือนเล่านิทานไปเรื่อย ๆ จากส่ิงที่เราพาไปดูและภาพที่เราพิมพ์ออกมาเป็นภาพจริง ๆ ไม่ใช่ภาพการ์ตูน เพราะว่าต้องการให้เค้าเพลิดเพลินจากภาพจริง ๆ ไม่ใช่ภาพการ์ตูนน่ารัก แต่ว่ามันไม่ใช่ความจริง

ทำไมเรารู้ว่าสารคดีมีประโยชรน์แล้วทำไมไม่ให้ลูกดูละ
เพราะว่า เราไม่ต้องการให้เค้าเรียกร้องต่อรองเอาอีกจะดู ไม่ทำอย่างอื่่น เราอยากให้เค้านิ่งจากการใช้สมาธิในการอ่าน ดูภาพ กับพ่อแม่มากกว่า ไม่ต้องการให้เค้าเพ่งกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต และก็นั่งเเช่ได้นาน ๆ เพราะว่าการให้ดูมันไม่มีวันสิ้นสุด มีแต่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น เรื่อย ๆ เเล้วเราไม่อยากต้องมาทะเลาะกันกับลูก การดูทีวี และคอมพิวเตอร์การใช้โปรแกรมต่าง ๆมันมีประโยชน์มากมาย แต่ว่ามันมีโทษเยอะเช่นเดียวกัน เราจะให้ลูกได้ใช้สิ่งเหล่านี้เมื่ออายุที่เหมาะสมจริง ๆ เมื่อวัยที่เค้าเข้าใจอะไร ๆมากขึ้นกว่านี้

ทำไม เราเลี้ยงลูกได้ทั้งวันโดยไม่ต้องพึ่งสิ่งเหล่านี้
ก็เรามีกิจกรรมทำกับเค้าทั้งวันคือไหลลื่นไปตามความสนใจของเค้า เเละเรามักจะวางสิ่งเร้าไว้ให้เค้าเมื่อเค้าอยากทำอะไรเค้าจะสามารถทำได้ทันที เช่น กรรไกร กระดาษ กาว สีเทียน อุปกรณ์เล่นโดว์ และอื่น ๆอีกมากมาย เมื่อเค้าอยากเล่นเราจะเล่นทำไปกับเค้า แต่ว่าระยะหลัง ๆ เค้าเริ่มที่จะเล่นคนเดียวของเค้าเองหยิบจับขึ้นมาทำเองตามสิ่งที่เค้าคิดได้เเล้ว เรามีหน้าที่เตรียมให้เค้าเท่านั้นเอง

เรายังคงเป็นครอบครัวไม่เน้นสิ่งและสื่อเทคโนโลยีมากมาย เเต่ว่าเราก็จะไม่ฝืนในสิ่งที่ที่เราไปนั้นเค้าทำอยู่เเล้ว เช่น ไปบ้านคนอื่น เค้าจะดูละครก็เรื่องของเค้า เราก็เลือกไม่ไป แตว่าสิ่งนั้นเป็นในเรื่อง กีฬา ไม่ใช่เรื่องน้ำเน่า เป็นอะไรที่เป็นเรื่องจริง ๆ เราไม่เคยทำตัวมีปัญหาเลย แต่ว่าหลาย ๆ คนก็แปลความหมายของเราสองคนผิดว่าไปสั่งคนอื่น ให้ไม่ให้ทำ บ้านคนอื่นสถานที่ของคนอื่นเราไม่เคยวุ่นวาย มีเพียงในครอบครัวเท่านั้นที่เราขอร้อง ให้เป็นทิศทางเดียวกันเพราะว่าไม่อยากให้เด็กรู้สึกว่า อะไรกัน งง เราอยากให้เค้าเป็นเด็กที่มีกิจกรรมใช้ร่างกายใช้สมองใช้จินตนาการมาก กว่าที่จะใช้สายตาจ้องคอมพิวเตอร์ หรือ ทีวี ก็เท่่านั้นเอง

ย้ำเหมือนเดิมนะคะ นี่เป็นวิธีการของเราซึ่งอาจจะขัดกับวิธีของคนอื่น อย่างไรอ่านมาถึงตรงนี้ก็ขออภัยที่ไม่ตรงใจ แต่ว่าสิ่งที่เราต้องการคือเด็กที่มีกิจกรรมทำไม่ใช่เค้าติดเกมติดทีวีไปแล้วแล้วต้องมาหาวิธีให้เค้าเลิก แต่ว่าให้เค้าสนุกตามวัยเล่น น้ำ เล่นดินทราย ตัดกระดาษ ระบายสี เล่นสมมติ เล่นกีฬา มันมีหลายสิ่งให้เด็กก่อนเจ็ดขวบทำและเรียนรู้ เราสองคนเชื่อเหลือเกินว่า อะไรที่มาในเวลาที่เหมาะสมย่อมหวานหอมกว่าเสมอ เพราะว่าฐานที่สำคัญของเด็กวัยนี้คือ ฐานของจิตใจและฐานของร่างกาย
ฐานของจิตใจควรได้รับสิ่งที่อ่อนโยนงดงาม มีตัวอย่างที่ดี (ไม่ใช่ดูจากในละคร) และใจควรได้รับความอบอุ่นและเข้าใจจากพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ที่เข้าใจเค้า และ ฐานของร่างกายควรได้ใช้ร่างกายเพื่อฝึกกล้ามเนื้อต่าง ๆ ให้พร้อม

นักจิตวิทยาได้กล่าวไว้ว่า ช่วงชีวิตของคนช่วงที่มีความสำคัญมากที่สุด คือ ช่วงวัยเด็ก เพราะว่าเป็นช่วงหล่อหลอมสร้างคนสร้างบุคลิกภาพ สร้างจิตใจของคนก็ช่วงนี้ เหมือนปลูกบ้านถ้าฐานบ้านสร้างมาดียังไงบ้านก็เเข็งเเรงทนทานนานปีต้านทานสิ่งต่าง ๆ เหมือนคนถ้าเราสร้างฐานให้มั่นคงต่อให้โตขึ้นเค้าเจอสังคมประเภทไหน เค้าก็จะปรับสภาพรับได้ ไม่ต้องกลัวว่า โอ้ยให้เจอไปเถอะตั้งเเต่เล็ก ๆ จะได้รู้ว่าโลกนี้เป็นอย่างไร ใช่เราต้องให้เจออยู่เเล้วแต่ว่าเราก็ต้องรอให้เวลามันนำพามาซึ่งสิ่งที่เหมาะสม ถ้าฐานบ้านยังไม่เสร็จ เราคงยังไม่สามารถก่อปูนทาสีอะไรได้ มันต้องไปเป็นสเต็ป ช้าแต่ชัวร์ดีกว่าคะ นี่คือคอนเซ็ปของบ้านเรา