วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

โชกุน กับ ทีวีและคอมพิวเตอร์

บ้านเรา ไม่มีการเลี้ยงลูกไป เล่นคอมพิวเตอร์ ไป หรือดูทีวีไป ด้วยเพราะว่าบ้านเราต้องการให้เวลาเลี้ยงลูกคือเลี้ยงลูก เล่นกับเค้าและสนใจที่เค้าจริง ๆ ซึ่ง สิ่งที่เราโดนมาตลอดเลยแน่นอนเราโดนจากคนในครอบครัว แน่นอนว่า ทำอะไรประสาทเกินไป แต่ว่าเราขออนุญาติ อธิบาย แบบเหตุผลกัน ณ ที่นี้เลยดีกว่า
เราสองคนไม่นิยมชวนเชิญลูกมานั่งดูทีวี เล่นคอมพิวเตอร์ เพราะว่า เราอยากให้เค้า ได้ทำกิจกรรมกับเรามากกว่า หรือ อ่านหนังสือร่วมกับเรามากกว่า และอยากให้ลูกไม่นั่งจ่อม อยู่หน้าจอเหลี่ยม ๆ จากวันละนิดวันละหน่อย สองนาที เป็นสองชั่วโมง

แล้วทำไงละในโลกนี้มีทีวี ทุกสถานที่ กี่พันล้านเครื่องเเล้วไปที่ไหนก็มี
ขอตอบว่า
ในที่ที่ไม่ใช่พื้นที่ของเรา ใครจะทำอะไรเราไม่เคยห้ามเค้าดูทีวีอยู่เรื่องของเค้า ถ้าเลือกไม่ได้คงต้องอยู่ แต่ว่าถ้าเรื่องที่เค้าดูชมอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ รุณเเรงมากเกินวัย เกินความจำเป็นของวัย เราเลือกที่จะห่าง เช่น ละครน้ำเน่า ตบตีเเย่งชิง คำหยาบ เตะตี เพราะว่าเราไม่ต้องการให้เค้าได้รับหรือเป็นผู้รับในสิ่งที่เค้ายังไม่ควรได้รับรู้เร็วเกินไปหนัก
แต่ในกรณีที่ที่เราไปนั้นเค้าเปิดทีวี แต่ว่าบังเอิญเป็นเรื่องที่ลูกของเราสองคนสนใจ เช่น สารคดี หรือเครื่องบิน โอเคอันนี้เราห้ามเค้าไม่ได้หรอก คือ อีกอย่างเลี่ยงไม่ได้ อันนี้แม่หรือพ่อจะนั่งข้าง ๆ แล้วคอยอธิบายให้เค้าฟัง ไม่ปล่อยให้นั่งดูอยู่คนเดียวเพราะว่าเมื่อเค้าสงสัยหรือมีคำถามอะไรเค้าจะได้ถามเราได้ทันที
แต่ว่าเราสองคนจะมีเรื่องต่อยอดจากสิ่งที่เค้าดูคือ เช่น กลับบ้านมาอ่านหนังสือเล่มที่เค้าสนใจในทีวี หรือ หาภาพจากคอมพิวเตอร์ในเรื่องที่เค้าสนใจ(เราหาเองเเล้วพิมพ์ไปให้เค้า) ซึ่งก็จะทำให้ต่อมอยากรู้ของเค้าได้ทำงานต่อไป แต่ว่าถึงเเม้เราสองคนจะทราบดีอยู่เเล้วว่าลูกชอบดูสารคดี พวกชีวิตสัตว์ เราก็ไม่ได้ประเคนซื้อเเผ่นหรือว่าป้อนข้อมูลให้เค้าจากการให้เค้าดูจากทีวี หรือคอมพิวเตอร์ เราจะพาเค้าไปดูจริง ๆ เช่นที่โรงพยาบาลสัตว์ กำแพงเเสน หรือว่า ที่สวนสัตว์ แล้วเราเองก็จะหาข้อมูลมาพร้อมภาพมาอธิบายพูดคุยกันไปเรื่อย ๆ ไม่เน้นว่าต้องรู้ทุกสิ่งภายในวันนี้ เราเน้นพูดคุยเหมือนเล่านิทานไปเรื่อย ๆ จากส่ิงที่เราพาไปดูและภาพที่เราพิมพ์ออกมาเป็นภาพจริง ๆ ไม่ใช่ภาพการ์ตูน เพราะว่าต้องการให้เค้าเพลิดเพลินจากภาพจริง ๆ ไม่ใช่ภาพการ์ตูนน่ารัก แต่ว่ามันไม่ใช่ความจริง

ทำไมเรารู้ว่าสารคดีมีประโยชรน์แล้วทำไมไม่ให้ลูกดูละ
เพราะว่า เราไม่ต้องการให้เค้าเรียกร้องต่อรองเอาอีกจะดู ไม่ทำอย่างอื่่น เราอยากให้เค้านิ่งจากการใช้สมาธิในการอ่าน ดูภาพ กับพ่อแม่มากกว่า ไม่ต้องการให้เค้าเพ่งกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต และก็นั่งเเช่ได้นาน ๆ เพราะว่าการให้ดูมันไม่มีวันสิ้นสุด มีแต่จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น เรื่อย ๆ เเล้วเราไม่อยากต้องมาทะเลาะกันกับลูก การดูทีวี และคอมพิวเตอร์การใช้โปรแกรมต่าง ๆมันมีประโยชน์มากมาย แต่ว่ามันมีโทษเยอะเช่นเดียวกัน เราจะให้ลูกได้ใช้สิ่งเหล่านี้เมื่ออายุที่เหมาะสมจริง ๆ เมื่อวัยที่เค้าเข้าใจอะไร ๆมากขึ้นกว่านี้

ทำไม เราเลี้ยงลูกได้ทั้งวันโดยไม่ต้องพึ่งสิ่งเหล่านี้
ก็เรามีกิจกรรมทำกับเค้าทั้งวันคือไหลลื่นไปตามความสนใจของเค้า เเละเรามักจะวางสิ่งเร้าไว้ให้เค้าเมื่อเค้าอยากทำอะไรเค้าจะสามารถทำได้ทันที เช่น กรรไกร กระดาษ กาว สีเทียน อุปกรณ์เล่นโดว์ และอื่น ๆอีกมากมาย เมื่อเค้าอยากเล่นเราจะเล่นทำไปกับเค้า แต่ว่าระยะหลัง ๆ เค้าเริ่มที่จะเล่นคนเดียวของเค้าเองหยิบจับขึ้นมาทำเองตามสิ่งที่เค้าคิดได้เเล้ว เรามีหน้าที่เตรียมให้เค้าเท่านั้นเอง

เรายังคงเป็นครอบครัวไม่เน้นสิ่งและสื่อเทคโนโลยีมากมาย เเต่ว่าเราก็จะไม่ฝืนในสิ่งที่ที่เราไปนั้นเค้าทำอยู่เเล้ว เช่น ไปบ้านคนอื่น เค้าจะดูละครก็เรื่องของเค้า เราก็เลือกไม่ไป แตว่าสิ่งนั้นเป็นในเรื่อง กีฬา ไม่ใช่เรื่องน้ำเน่า เป็นอะไรที่เป็นเรื่องจริง ๆ เราไม่เคยทำตัวมีปัญหาเลย แต่ว่าหลาย ๆ คนก็แปลความหมายของเราสองคนผิดว่าไปสั่งคนอื่น ให้ไม่ให้ทำ บ้านคนอื่นสถานที่ของคนอื่นเราไม่เคยวุ่นวาย มีเพียงในครอบครัวเท่านั้นที่เราขอร้อง ให้เป็นทิศทางเดียวกันเพราะว่าไม่อยากให้เด็กรู้สึกว่า อะไรกัน งง เราอยากให้เค้าเป็นเด็กที่มีกิจกรรมใช้ร่างกายใช้สมองใช้จินตนาการมาก กว่าที่จะใช้สายตาจ้องคอมพิวเตอร์ หรือ ทีวี ก็เท่่านั้นเอง

ย้ำเหมือนเดิมนะคะ นี่เป็นวิธีการของเราซึ่งอาจจะขัดกับวิธีของคนอื่น อย่างไรอ่านมาถึงตรงนี้ก็ขออภัยที่ไม่ตรงใจ แต่ว่าสิ่งที่เราต้องการคือเด็กที่มีกิจกรรมทำไม่ใช่เค้าติดเกมติดทีวีไปแล้วแล้วต้องมาหาวิธีให้เค้าเลิก แต่ว่าให้เค้าสนุกตามวัยเล่น น้ำ เล่นดินทราย ตัดกระดาษ ระบายสี เล่นสมมติ เล่นกีฬา มันมีหลายสิ่งให้เด็กก่อนเจ็ดขวบทำและเรียนรู้ เราสองคนเชื่อเหลือเกินว่า อะไรที่มาในเวลาที่เหมาะสมย่อมหวานหอมกว่าเสมอ เพราะว่าฐานที่สำคัญของเด็กวัยนี้คือ ฐานของจิตใจและฐานของร่างกาย
ฐานของจิตใจควรได้รับสิ่งที่อ่อนโยนงดงาม มีตัวอย่างที่ดี (ไม่ใช่ดูจากในละคร) และใจควรได้รับความอบอุ่นและเข้าใจจากพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ที่เข้าใจเค้า และ ฐานของร่างกายควรได้ใช้ร่างกายเพื่อฝึกกล้ามเนื้อต่าง ๆ ให้พร้อม

นักจิตวิทยาได้กล่าวไว้ว่า ช่วงชีวิตของคนช่วงที่มีความสำคัญมากที่สุด คือ ช่วงวัยเด็ก เพราะว่าเป็นช่วงหล่อหลอมสร้างคนสร้างบุคลิกภาพ สร้างจิตใจของคนก็ช่วงนี้ เหมือนปลูกบ้านถ้าฐานบ้านสร้างมาดียังไงบ้านก็เเข็งเเรงทนทานนานปีต้านทานสิ่งต่าง ๆ เหมือนคนถ้าเราสร้างฐานให้มั่นคงต่อให้โตขึ้นเค้าเจอสังคมประเภทไหน เค้าก็จะปรับสภาพรับได้ ไม่ต้องกลัวว่า โอ้ยให้เจอไปเถอะตั้งเเต่เล็ก ๆ จะได้รู้ว่าโลกนี้เป็นอย่างไร ใช่เราต้องให้เจออยู่เเล้วแต่ว่าเราก็ต้องรอให้เวลามันนำพามาซึ่งสิ่งที่เหมาะสม ถ้าฐานบ้านยังไม่เสร็จ เราคงยังไม่สามารถก่อปูนทาสีอะไรได้ มันต้องไปเป็นสเต็ป ช้าแต่ชัวร์ดีกว่าคะ นี่คือคอนเซ็ปของบ้านเรา



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น