วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2556

homeschool กับเด็กปฐมวัย

การ homeschool ในระดับปฐมวัยนั้่น สำหรับแนวบ้านเราและกลุ่มบ้านเรียนในวัยเดียวกันกับเราที่เราไปมาหาสู่ปรึกษาหารือกันนั้น ส่วนใหญ่ล้วนแล้วจะปล่อยให้เด็กเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีการสอนวิชาการแต่พวกเค้าจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่จริง ๆ มันคือวิชาการโดยทีเค้าไม่รู้ตัว การเรียนของเด็กบ้านเรียนโดยเฉพาะในระดับปฐมวัยส่วนใหญ่จะไม่มี รูปแบบที่เสร็จสมบูรณ์ออกมาสวยงามมีสมุดงานมาให้ดูว่า นี่งานเราได้กี่ดาว ๆ แต่ว่ามันจะเป็นเรื่องของการบูรณาการทั้งหมดทั้งสิ้นที่อยู่รอบตัวเสียมากกว่า

เช่นสมมติเรียนเรื่องคณิตศาสตร์ ก็เรียนจากการนับสิ่งของจริง ๆ หยิบจับ จริง ๆ สามารถนับทุกสิ่งรวมทุกสิ่ง จากสิ่งรอบตัวได้เลยไม่ต้องไปนั่งทำเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ หรือในระหว่างที่นับแม่อาจจะเเทรกวิชาอื่นเข้าไปได้อีก คือเอาง่าย ๆ เด็กเรียนแบบบ้านเรียนนั้นว่าไปเค้าเรียนทั้งวันนะคะ ไม่ได้มีวันหยุด เพราะว่าครูของเค้าอยู่ก้บเค้าตลอดเวลา(เป็นครูที่ค่าตัวถูกที่สุดเพราะว่าไม่มีค่าจ้างใด ตอบแทนเลย มีแต่ความชื่นใจเท่านั้นเวลาลูกพัฒนาไปเรื่อย ๆ )

บางคนถามว่าเอ้าไม่สอนเชิงวิชาการเลยแล้วจะไปสู้กับคนอื่นทันไหม แล้วอีกหน่อยจะโง่ไหม

คือเราเน้นพัฒนาการของเด็กอะคะ คือถ้าให้นึกถึงเด็กปฐมวัย วัยอนุบาล ล้วนแล้วแต่อยากเล่น อยากเคลื่อนไหว แสดงว่าถ้าเราเสริมทักษะให้ตรงกับพัฒนาการของเค้ามันน่าจะง่ายกว่า คือ เอาง่าย ๆ ถ้าเราสอนให้เค้าใช้ทางด้านร่างกายเล่น ปียป่าย ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ จะไปได้เร็วกว่าจับเค้ามานั่งอ่านหนังสือเขียนหนังสือตามคุณครูในห้อง คือ แรงกระตุ้นที่จะทำในสิ่งสองสิ่งมันต่างกัน ความอยากมันต่างกัน เพราะว่าเค้ายังอยากเคลืนไหวเยอะ ๆ อยู่  แต่ว่าพอวุฒิภาวะเค้ามาอายุเยอะขึ้นเค้าจะพร้อมทีจะนั่งฟังเรานานขึ้น เเล้วพร้อมจะทำในสิงทีเราอยากจะสอนเค้าได้ง่ายขึ้น

ดังนั้นไม่น่ากลัวหรอกคะ เดี่ยววัยเค้ามาอายุมาพัฒนาการมา เดี่ยวเราก็จะทราบเองว่าเราควรจะสอนเค้าอะไรแล้วต้องทำอย่างไร ตัวเค้าเองนั้นละคะเป็นคนกำหนดแผนการสอนของเรา

และคำถามยอดฮิตคือ อีกหน่อยไม่มีสังคม เข้ากับคนอื่นไม่ได้ ไร้วินัย ไร้ระเบียบ

ทั้งหมดของคำถามนี้จริง ๆ เราอยากให้ย้อนมองดูแค่ครอบครัวพอ ถ้าครอบครัวมีสังคมเป็นคนดี มีมารยาท เคารพกฎ ไม่ต้องห่วงหรอกคะ เค้าคงไม่ฉีกเเนวมาก ทุกอย่างพื้นฐานคือครอบครัว ถ้าแบบอย่างดี ไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่งั้นจะมีคำพูดว่า พ่อแม่เป็นอย่างไรลูกก็เป็นอย่างนั้น(แต่ว่าถ้าพ่อแม่ไม่ได้เลี้ยงเลยให้คนอื่นเลี้ยงเค้าก็จะเป็นเเบบคนที่เลี้ยงเค้า ดังนั้นก่อนตัดสินใจส่งลูกให้ใครเลี้ยง บวก ลบ คูณ หารดีดีนะคะ)
การไม่มีสังคมไม่น่าจะเกี่ยวเพราะว่าลูกชายก็มีเพื่อนปกติ และ เพื่อน ๆ เค้า ก็ไปโรงเรียนปกติ เรามีสังคมลูกเราก็มีสังคมคะ เพียงแต่เค้าจะแตกต่าง เราก็ต้องบอกเค้าถึงความแตกต่างอธิบายให้เค้าฟัง  แล้วถามความสมัครใจของเค้าว่าอยากจะต่างหรืวว่าอยากจะเหมือนในเมื่อเค้าเลือกอยากจะต่าง ให้แม่สอนให้พ่อสอน เรา ก็ต้องจัดสมดุลย์ให้ดี คือ พาเค้าทำกิจกรรม พาเค้าเจอเพื่อน บ้างตามสมควร และจุดที่สำคัญมากคือ การทำโฮมสคูล เราไม่ได้หมายความว่า เรา เจ๋งกว่าคนอื่น  ไม่มีการพูดพาดพิงใด ๆ ให้ลูกรู้สึกว่าเราเหนือกว่า หรือว่าพูดให้ลูกรู้สึกประหลาด เราต้องทำให้เค้ารู้ว่าเค้าแตกต่่าง แต่ว่าการเเตกต่างนั้นปกติไม่ได้ผิดอะไร ไม่เสียหายด้วย ตรงนี้พ่อแม่เวลาตอบคำถามคนอื่นในความคิดเราคือ ควรตอบอย่างมั่นใจว่า ทำโฮมสคูลคะ เรามั่นใจลูกเราก็จะมั่นใจ

สุดท้ายอ่านไปอ่านมา สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ครอบครัว หน่วยของสังคมที่เล็กจิ๋วที่สุดแต่ว่ามีพลังมหาศาลนะคะ สังคมจะดีไม่ดีขึ้นอยู่กับทุกครอบครัวสร้างผลผลิตออกมานะคะ ให้ความสำคัญกับครอบครัวกันเยอะ ๆ เพราะว่าเราตัดสินใจมีเค้าออกมาเเล้ว เค้าจะดีหรือว่าไม่ดี ไมได้ขึ้นอยู่กับว่า เราสามารถทำมาหาเงินได้มาหาเงินได้มากมายเเค่ไหน แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณทุ่มเทเเละมีเวลาให้เค้ามากเเค่ไหน  (พูดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องหาเงินนะคะ แต่ว่าหมายความว่าหา แบบไม่ต้องอะไร ๆ ก็ลงที่งานไปซะหมด หาแต่เงินไม่มีเวลาให้ลูก ลูกไม่รู้หรอกคะว่าคุณมีเงินมากแค่ไหน เค้าสนใจแต่ว่าคุณมีเวลาให้เค้าเเค่ไหน)

มีคนเคยบอกว่าเลี้ยงลูกเหมือนซื้อที่ดิน กว่าจะงอกเงยให้กำไรอะ ไม่ได้ใช้เวลาเเค่ปีเดียว แต่ว่าเมื่อถึงเวลา ผลกำไรนั้นย้อนกลับมามหาศาล

บ้ายบายคะ ขอให้สนุกมีความสุขกับครอบครัวกันเยอะ ๆนะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น