วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

โชคดีที่เราได้ทำอะไรที่เหมาะกับครอบครัวเรา

เรื่องที่ม่าม๊าคิดว่าม่าม๊าชอบการทำโฮมสคูล ให้โชกุน มากๆ คือ เราน่าจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีเเละเหมาะสมกับการเป็นเด็ก ตัวอย่างในเรื่องง่าย ๆ คือ การได้ทำอาหารกันทุกมื้อ โดยเฉพาะมื้อเช้า เพราะว่าตอนเด็กม่าม๊าไม่มีโอกาส คือ กิจวัตรมันคือ รีบตื่น รีบเเต่งตัว รีบออกจากบ้านให้เร็วที่สุด มีแต่คำว่ารีบ (เพราะว่าบ้านอยูสุขมวิท 101/1 แต่ว่าเรียนพระโขนง ดูไม่ไกล แต่ว่าโห รถจะติดไปไหนคะ กทม) และสิ่งที่ต้องทำเป็นประจำคือ การที่คุณยาย เอากล่องข้าวใส่ในรถเเล้วก็ป้อน ๆ รีบกินให้เสร็จแล้วอาจจะได้งีบต่ออีกหน่อย ทำแบบนี้ตั้งแต่อนุบาล ยัน จบประถม โหบอกตรง ๆ เบื่อ แต่ว่าตอนนั้นคิดว่าทุกคนต้องเป็นแบบนี้ เลยไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เล่าเรื่องตัวเองเพื่อจะยืนยันว่า ตัวเองคือ คนหนึ่งที่ต้องประสบกับกิจวัตรที่น่าเบื่อ ไม่เห็นจะเสริมสร้างสมองส่วนไหนขึ้นมาเลย แถมคุณภาพชีวิตดูเหมือนไม่เห็นจะดีเลย

พอมีลูก มันคือสวรรค์จริง ๆ ที่เราไม่ต้องรีบตื่น รีบแต่งตัว รีบออกจากบ้าน รีบเพื่อไปเข้าอยู่ในห้องเรียน แต่ว่าเรารีบเหมือนกันคะรีบเพื่อจะได้เล่นกันวันนี้เราจะเล่นอะไรกัน 

 กิจวัตรของบ้านเรียนของเรา คือ
ตื่นนอน อ่านนิทานสองเรื่อง แล้วก็ไปล้างหน้าแปรงฟัน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ทำอาหารเช้าร่วมกัน  แล้วตอนนี้บ้านเราปลูกผักเอง ได้กินผักอินทรีย์ของตัวเอง ม่าม๊าชอบมากๆ เหมือนว่าไม่ต้องเอาเงินไปจ่ายค่าข้าวที่ร้าน ซึ่งเค้าไม่น่าจะล้างผักสะอาดอะไรมากมาย เราได้กินข้าวอินทรีย์ ทุกอย่างออแกนิค โหยมีความสุข  ความใฝ่ฝันเลยชอบ
หลังจากนั้นเราก็จะอาบน้ำ แล้วก็เล่นfree play กิจกรรมที่โชกุนชอบมาก ๆ คือวาดรูป นั่งวาดได้เป็นชั่วโมง ๆ หลังจากนั้นก็เรียนอะไรนิดหน่อย อ่านนิทาน แล้วก็จะได้เวลาที่เราจะทำกับข้าวกันอีกเเล้ว สนุกเราสองคนคิดสูตรอาหารสุขภาพกันสองคน บางวันเราก็ลองทำอาหารโดยไม่ใส่น้ำมันเราใช้น้ำแทน บางวันเราก็ทำข้าวผัดงาใส่ไข่ หรือว่าทำแพนเค้ก แล้วใส่ชีสสอดไส้   กินกัน สนุกมากช่วยกันคิดช่วยกันทำ เปิดโอกาสให้คิดให้ทำเองจริง นี่คือการเรียนโดยไม่ต้องเข้าห้องเรียนเลย แค่เดินเข้าห้องครัวเท่านั้นเอง  แล้วได้เรียนกันวันหนึ่งตั้งสามรอบ เพราะว่าทำอาหารทาน เช้า กลางวัน เย็น

เราทำโฮมสคูลไม่ว่าเราจะอยู่ทีไหนเมื่อไหร่เราก็สอนลูกได้ ดีจริงดีจัง นับวันยิ่งชอบและมั่นใจว่าตัวเองและครอบครัวเหมาะกับระบบแบบนี้มากกว่า

ในความคิดของม่าม๊าคิดว่าคงโฮมสคูลอีกนานเลยจนกว่า นักเรียนของม่าม๊าจะบอกว่าขอไปเรียนในระบบแล้วครับเพราะว่าในความคิดม่าม๊านั้นคิดว่า
####บางทีถ้าลองเดินไม่ต้องตามทางที่คนเค้าเดินกันเยอะ ๆ บ้างมันก็น่าจะดี ตรงที่เราไม่ต้องไปเบียดเสียดกับใคร สามารถหยุดพัก สูดอากาศ หรือชมนกชมไม้บ้าง ก็ไม่มีใครว่า เพราะว่าทางนี้มันโล่ง ไม่ค่อยมีคนเดิน แต่ว่าเราเลือกเดินในทางที่เราเราได้เดินจูงมือไปด้วยกันตลอดเส้นทาง เเละคนที่เรารักมีความสุข มันก็น่าจะเพียงพอเเล้ว ชีวิตคนเรามันสั้นนัก ครอบครัวเราไม่เคยคิดแม้แต่น้อยว่าต้องรีบทำงาน ๆ  หาเงินเยอะ  ๆ (ในกรณีนี้ไม่ใช่ว่าไม่หาเงินนะคะหาแต่ว่าไม่ได้คลั้งและคิดตลอดเวลาว่าจะต้องรวย รวยเท่านั้น) เราคิดว่าคนเราชีวิตมันไม่แน่นอนมีโอกาสที่จะอยู่ด้วยกันก็ตักตวงให้มากที่สุด  และฝึกฝนเค้าในโลกของความเป็นจริงมากที่สุด มาตรงนี้บางท่านก็จะบอกว่าถ้าโลกความจริง ทำไมไม่ไปเรียนในโรงเรียน สำหรับครอบครัวเราคิดว่าโลกในความเป็นจริง เค้าต้องเจอกับคนที่อายุหลากหลายไม่ใช่เท่ากันในห้องสี่เหลี่ยมแล้วมีคนคนหนึ่งยืนอยู่หน้าห้องคะ เพราะว่าในวันข้างหน้าไม่มีทางที่เค้าจะเจออะไรที่เป็นลักษณะนี้ ในการทำงานยังไม่เคยเห็นที่ไหนมีแต่คนอายุเท่ากันทำงานห้องเดียวกัน เราแค่ทำให้ลูกเราชินกับความเป็นจริงเท่านั้นเองโลกความเป็นจริงของลูกเราต้องเจอในสิ่งที่พ่อแม่เจอ จริง ๆ บางทีโหดกว่าการที่เค้าเข้าไปอยู่ในห้องเรียนด้วยซ้ำ เพราะว่า การไปเจอคนเยอะ ๆ บางคนก็สภาวะจิตเปิด คือ ฟังแล้วคิดตาม ส่วนบางคนก็สภาวะจิตปิด คือคิดว่า การไม่เดินตามใครนั้นคือเราทำร้ายลูก แล้วพูดจาไม่ค่อยดีกลับมากับลูกก็มี แต่เราก็จะบอกว่ามันเป็นเรื่องปกตินะลูก  (จริง ๆ โฮมสคูลมีมาเเล้ว 20 ปีนะนี่) ส่วนเรื่องเพื่อน ครอบครัวเราก็เห็นลูกมีเพื่อนปกตินะคะ เล่นกับคนอื่นได้ปกติ นะคะ คนที่เข้าใจการทำโฮมสคูลจะทราบว่าเด็กพวกนี้เค้ามีกลุ่มมีสังคมของเค้า เหมือนเด็กที่เรียนในระบบปกติคะ คือมีกลุ่มเพื่อนของตัวเอง แต่ว่าเด็กโฮมสคูลอาจจะมีหลายกลุ่มหน่อย กลุ่มเรียนศิลปะ กลุ่มเล่น กลุ่มพี่ กลุ่มน้อง
และพ่อแม่ถ้าเค้าเลือกทางเดินให้ลูกทางนี้เค้าไม่ทำลายลูกตัวเองหรอกคะ เค้าต้องจัดกิจกรรมให้ดูแล้วเหมาะสม กับลักษณะของลูกจริง ๆการทำแบบนี้ก็เหมือนกับการทำ child center นะคะ ดูตามผู้เรียนเป็นสำคัญจริง ๆ เพราว่าผู้เรียนมีคนเดียว เค้าต้องมีทักษะในการดำรงชีวิต และเค้าต้องทำงานให้เป็นเร็วที่สุดใน ซึ่งคนที่จะทำหน้าที่ได้ดีคือ พ่อแม่ จุดนี้เราจึงพยายามให้เค้าได้ทำงานกับเราตั้งแต่ตอนนี้ เริ่มทีละนิดทีละหน่อย เท่าที่พอทำได้ ไม่เคยรู้สึกว่าการที่ลูกมีส่วนร่วมในการทำงานเป็นเรื่องน่ารำคาณและเด็กทำไม่ได้ เราคิดว่าไม่ต้องรอจนกระทั้งจบปริญญาตรีแล้วค่อยมาเริ่มทำงาน จุดมุ่งหมายของเราคือ อยากให้ลูกเป็นคนที่ฉลาดในการคิด และ แก้ปัญหาที่ัมันจะเกิดขึ้นในชีวิตจริง ๆ และไม่เสียศูนย์หากเจอปัญหาในวันข้างหน้า เท่านั้นเองคะ  แต่ว่าทางเดินของใครของคนนั้นคะแล้วแต่จะเลือก เราชื่นชมหมดนะคะ ไม่เคยว่าใครเลย เห็นควมสามารถของเด็กที่แตกต่างหลากหลายเราก็ทึ่งในความเก่งของเด็กแต่ละคน และครอบครัวเราไม่เคยบอกมาต้องมาทำให้เหมือนเราถึงจะดีถึงจะถูกนะคะ เพราะว่าแต่ละครอบครัวก็มีความเหมาะสมไม่เหมือกัน แต่ว่า ณ ปัจจุบันบ้านเราครอบครัวเรายังสบายใจสบายกายกับวิถีแบบนี้อยู่คะ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น